Monday, January 15, 2007

เด็กข้างถนน : โดย ท.เลียงพิบูลย์ 11

บอกว่า บัดนี้พระภิกษุรูปนั้นได้ถอนกลดเดินทางต่อไปแล้ว ไม่ทราบว่าเดินทางไปไหน เพราะไม่มีใครเห็น ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาก็ไม่ได้ทราบข่าวจากท่านอีกเลย นี่แหละครับเรื่องของผม ส่วนบุตรบุญธรรมของผมนั้น ผมรู้สึกเป็นสุขมากที่ได้แกมาเป็นบุตร การมีบุตรของคนทั่วๆ ไปนั้น ความรักใคร่ในระหว่างพ่อแม่กับบุตรในไส้ของตน จะมีมากเพียงไรผมไม่ทราบ เพราะผมไม่เคยมี แต่สำหรับบุตรของผมคนนี้ รู้สึกว่าแกเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผม ผมจะขาดแกเสียมิได้ ผมอาจจะสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อแกได้ บัดนี้แกก็ได้ศึกษาในสิ่งที่แกสนใจ ซึ่งผมได้จ้างครูมาสอนจน เป็นที่พอใจในความรู้ที่แกได้รับ และต่อมาผมได้มอบงานให้แกทำด้วยความไว้วางใจ ในความขยันและความซื่อสัตย์สุจริตของแก เป็นที่รักใคร่นับถือของนายงานและคนงานทั่วไป เพราะแกปฏิบัติต่อคนงานด้วยความเมตตาปรานีและเห็นอกเห็นใจ เมื่อข้าพเจ้าได้ฟังท่านผู้นั้นเล่าเรื่องยืดยาวด้วยความเพลิดเพลินจบลงแล้ว มีหลายท่านที่อยู่ในที่นั้นต่างก็ลงความเห็นว่า เด็กคนนั้นคงจะเป็นบุตรของท่านผู้เล่าในอดีตชาติ มิฉะนั้นก็คงไม่ประจวบเหตุการณ์อันแสดงถึงจิตใจ ให้มองเห็นความดีเด่นอย่างอัศจรรย์ และเป็นเด็กที่มีอัจฉริยะผู้หนึ่ง จึงได้เข้าถึงศีลธรรมตั้งแต่อายุยังเยาว์เช่นนี้ ในหมู่ผู้ที่นั่งฟังอยู่ด้วย มีท่านผู้หนึ่งซึ่งเป็นข้าราชการเก่า เป็นผู้มีอาวุโสที่สุดในหมู่พวกที่นั่งสนทนา ท่านมีความสนใจในเรื่องนี้มาก เมื่อเห็นมีผู้วิจารณ์เรื่องนี้ มีความเห็นต่างๆ กัน ก็อดอยู่ไม่ได้ จึงพูดกับผู้เล่าอย่างสะเทือนใจและน้อยใจว่า “คุณเป็นคนโชคดี แม้จะมีบุตรบุญธรรมคุณก็ยังได้รับความสุขสบายใจ ดีกว่าผมมีบุตรในไส้ เพราะเด็กของคุณมีความเคารพ กตัญญูรู้คุณ มีจิตใจสูง รู้ศีลธรรม รู้ดีรู้ชั่ว เพราะคุณชนะจิตใจของเด็กด้วยการให้ และประกอบด้วยเมตตากรุณา ส่วนเด็กก็ชนะใจคุณด้วยความกตัญญูที่เกิดขึ้นเอง เป็นนิมิตอันดียิ่ง นับว่าคุณเป็นผู้มีบุญกุศลที่ได้เคยสร้างสมไว้แต่ปางก่อน จึงได้มาพบบุตรเลี้ยงที่ดีเช่นนี้ สำหรับผมเป็นคนโชคร้าย ผมมีบุตรชาย ซึ่งเป็นเลือดเนื้อเชื้อไข เลือดในอกของผมแท้ๆ เขาก็ไม่ค่อยอยู่ในโอวาทนัก เห็นจะเป็นเพราะอบรมผิดมาแต่เด็กๆ แต่เขาก็เป็นลูกที่ผมมีความรัก และเอ็นดูตามอกตามใจตลอดมา ครั้งเขามีครอบครัวแล้ว ทรัพย์สมบัติซึ่งผมได้อุตส่าห์ออมสะสมไว้ตั้งแต่ยังหนุ่มๆ ผมก็ได้โอนให้หมด เพราะเห็นว่าเราแก่แล้วถึงอย่างไรเราก็ต้องให้ลูกวันยังค่ำ เราควรจะให้เขาเสียเมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ แต่แล้วต่อมาผมก็รู้สึกเสียใจที่คิดผิดไป เพราะบัดนี้ลูกของผมมองเห็นผมเป็นเพียงคนแก่ๆ คนหนึ่ง เหมือนไม่ใช่พ่อของเขา เป็นคนแก่จนๆ ที่ไม่มีทรัพย์สมบัติติดตัว ต้องอาศัยเขาอยู่อาศัยเขากิน เขาแสดงกิริยารังเกียจ ด่าคน ด่าหมากระทบอยู่ทุกวัน คล้ายๆ กับผมอยู่ไปก็เปลืองข้าวสุกไม่เป็นประโยชน์ นอกจากทำความรำคาญให้เขา ผมจะกินข้าวแต่ละครั้งกลืนไม่ค่อยจะลงคอเลย ผมต้องคิดมาก ใจคอมันตื้นตันน้ำตาตกใน มันน้อยใจตัวเอง ผมต้องใช้ทางพระเข้าช่วย เพื่อสำรวมจิตใจดับไฟแห่งโทสะและความน้อยใจ มิให้มันเข้าไปเดือดอยู่ในความรู้สึกให้มันผ่านเลยไป นึกเสียว่าชาติก่อนเราทำกรรมไว้ ชาตินี้กรรมจึงตามสนองเรา ต้องก้มหน้าใช้กรรมจนกว่าจะหมด เพราะอายุเราก็มากแล้วคง ทนอยู่ได้ไม่นานก็จะหมดเวรหมดกรรม เราได้ทำความดีมาแต่ต้นแล้ว ก็ควรจะทำให้ตลอดไป นึกได้เช่นนี้ก็มีความรู้สึกสงบเย็นชาไป ถ้าไม่นึกเอาพระธรรมเข้าข่มไว้ปล่อยให้เป็นไปตามอารมณ์ ก็คงเสียสติ หรือมิฉะนั้นก็อกคงแตก หรืออาเจียนมาเป็นโลหิตแน่ หรือทนไม่ไหวฆ่าตัวตายก็ได้ นี่ยังบุญอยู่หน่อยที่หลวงท่านยังให้บำนาญพอจะใช้จ่าย พอได้ทำบุญทำทานได้บ้างเล็กๆ น้อยๆ และก็ต้องหาความสงบในทางเข้าวัด สนทนากับพระกับเจ้า บัดนี้ผมอยู่วัดมากกว่าอยู่บ้าน บั้นปลายของชีวิตต้องศึกษาทางธรรมที่จะกำจัดกิเลสให้เบาบางลงทำให้จิตใจสงบ จึงมีชีวิตผ่านไปได้วันหนึ่งๆ จนกว่าจะจากโลกนี้ไป ผมคิดว่าในที่นี้ไม่มีใครโชคร้ายในเรื่องบุตรเท่ากับตัวผม” พวกเราได้ฟังแล้วก็เศร้าใจ และเห็นใจท่านผู้นั้นมาก คืนนั้นเราสนทนากับอยู่จนพระสวดอภิธรรมจบ พระกลับวัดไปนานแล้ว เราได้รับความรู้หลายอย่างที่พอจะนำมาขบคิดได้ เจ้าภาพได้จัดเลี้ยงข้าวต้มกุ้งในตอนดึก หลังจากนั้นเราก็ต่างลาเจ้าภาพ และเพื่อนร่วมสนทนาเดินทางกลับ เมื่อกลับมาถึงบ้านแม้จะเป็นเวลาดึกแล้ว แต่ข้าพเจ้าก็นอนไม่หลับ อดนำเรื่องต่างๆ มานึกคิดไม่ได้ว่า อันบุคคลในโลกนี้ ไม่ว่าผู้ใดจะมีการศึกษาความรู้สูงก็ดี ความรู้ต่ำก็ดี สิ่งเหล่านี้มิได้เป็นเครื่องวัดจิตใจว่าจะเป็นผู้ที่มีจิตใจสูง อยู่ในศีลธรรมประกอบกรรมดี ความดีมิได้เลือกว่าจะเกิดในตระกูลสูงหรือต่ำ ศีลธรรมและความดีจะเกิดขึ้นได้กับบุคคลทุกชั้นไม่ว่าจะยากจน มั่งมี ความรู้สูงหรือต่ำและผู้ที่ประกอบกรรมทำชั่ว ใจต่ำ ย่อมจะเกิดกับคนทุกชั้นได้เช่นเดียวกัน และอดคิดไม่ได้ว่าเยาวชนของเรา หากได้ป้องกันโดยการอบรมศีลธรรมเสียตั้งแต่อายุยังน้อย ให้ซาบซึ้งถึงกรรมดี กรรมชั่ว สิ่งใดควรประพฤติ และสิ่งใดไม่ควรประพฤติ ให้เชื่อกฎแห่งกรรมย่อมตามสนอง คนชั่วย่อมได้รับทุกข์คนดีย่อมได้รับความสบายทางจิตใจ เด็กย่อมมีอารมณ์พอที่จะรับเชื้อทางศีลธรรมได้ง่าย พอที่จะซึมเข้าไปทางจิตใจ เป็นเครื่องที่จะคุ้มกันสิ่งที่ชั่วไม่ให้ผ่านไปถึงจิตใจได้ ธรรมดาเด็กเมื่อได้ตกลงฝังจิตใจในความดีและศีลธรรมแล้ว ย่อมจะยึดถือมั่น อยากจะปฏิบัติทำความดี ชังความชั่วตลอดไป เช่นเรื่องของ “เด็กข้างถนน” ซึ่งเป็นผู้ที่ยึดถือศีลธรรมจากคำสั่งสอนของยายและท่านสมภาร แล้วก็ได้ถือเป็นหลักปฏิบัติเป็นตัวอย่างที่หาได้ยากในสมัยปัจจุบันนี้ ที่จะหาผู้ปกครองรุ่นเก่าๆ ที่จะคอยอบรมสั่งสอนลูกหลานที่ยังเยาว์ ให้ประกอบกรรมดี ดังเรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าคิดเรื่องหนึ่ง สำหรับผู้ปกครองในปัจจุบันนี้

เด็กข้างถนน : โดย ท.เลียงพิบูลย์ 10

ทันทีที่ท่านพูดจบ ก็เกิดมีเสียงพึมพำขึ้นในหมู่ชนที่อยู่ในที่นั้น บางคนก็ยกมือขึ้นพนมเหนือหัว ร้องขึ้นว่า “สาธุ ท่านได้เปลี่ยนจิตใจมาสู่ทางพระได้ดีเหลือเกินเจ้าประคุณ” ผู้ที่อยู่ในที่นั้นต่างก็รู้สึกว่ามีความเลื่อมใส ตื้นตันใจ ศรัทธาเพิ่มขึ้น เมื่อรู้ที่มาของพระภิกษุองค์นี้ แล้วก็เข้าไปประเคนถวายของขบฉัน โดยเฉพาะเด็กชายวัยรุ่นของผม ก็มีหน้าตาสดชื่นขึ้น ความเป็นเคนเจ้าทุกข์หายไป และพวกคนงานในไร่ที่อยู่ในที่นั้นก็พลอยมีจิตใจเบิกบาน เพราะรู้เรื่องว่าสลัดดำ บัดนี้บวชเป็นพระภิกษุทรงศีลอันบริสุทธิ์ เคร่งต่อระเบียบวินัยเจริญศีลภาวนาเป็นที่น่าเคารพนับถือ มิได้เป็นภัยต่อสังคมแล้วต่อไป ก็ไม่ต้องระมัดระวังคนแปลกหน้า โดยเกรงว่าจะเป็นสลัดดำ แปลกปลอมเข้ามาอีก ทุกคนก็จะได้นอนตาหลับกันเสียที ส่วนผมนั้นรู้สึกเลื่อมใสและเกิดศรัทธา ในพระภิกษุองค์นี้ยิ่งขึ้น เมื่อได้ทราบประวัติของท่านโดยตลอดแล้ว คิดว่าในสมัยปัจจุบันจะหาบุคคลชนิดนี้ได้ไม่ง่ายนัก เรารอจนกว่าท่านฉันเช้าเสร็จ ให้ท่านยะถาสัพพีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ต่อจากนั้นชาวบ้านและคนงานต่างก็นมัสการลาท่านทยอยกันกลับ เหลือแต่ผมและเด็กวัยรุ่นและคนงานในไร่อีก ๒ - ๓ คน ซึ่งยังนั่งสนทนากับท่าน ผมต้องสะอื้นอยู่ในอกด้วยความเลื่อมใสศรัทธาที่ไม่เคยได้พบบุคคลเช่นนี้ ผมจึงได้ปวารณาตัวต่อท่าน และสั่งให้เด็กวัยรุ่นและคนงานรีบกลับไปที่พัก สั่งให้คนครัวจัดอาหารมาให้ทันเวลาถวายเพล และหากท่านมีความประสงค์สิ่งใด ก็ให้จัดหามาถวายทุกอย่าง เมื่อเด็กวัยรุ่นและคนงานไปตามที่สั่งแล้ว ผมก็นั่งสนทนากับท่านต่อไป ตอนหนึ่งท่านพูดขึ้นว่า “คุณโยมได้เจ้าหนูมาอยู่ด้วย อาตมาขอแสดงความยินดี เด็กคนนี้เป็นคนมีความกตัญญู จิตใจมั่นคงมีความดี ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นนิสัยประจำตัว คุณโยมจะหาไม่ค่อยพบคนที่ไว้วางใจได้เช่นนี้” ผมตอบว่า “จริงครับท่าน เวลานี้ผมรักใคร่แกเหมือนบุตรของกระผมเอง จะขาดแกเสียมิได้ แต่ยังรู้สึกว่าผมเป็นคนมีกรรมมากเพราะถึงจะมีความรักใคร่แกมาก เนื่องจากผมไม่เคยมีบุตร และภรรยาของผมก็ถึงแก่กรรมไปนานแล้ว ผมตั้งใจไว้ว่าจะไม่มีภรรยาใหม่ จึงขอร้องให้แกเป็นบุตรบุญธรรมของกระผมโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่ผมก็ต้องผิดหวังครับท่าน เพราะแกไม่ยอมรับเป็นบุตร แกขอเป็นเพียงคนงานของผมเท่านั้น จึงทำให้ผมไม่มีความสุขไม่สบายใจตลอดมา แต่ก็ยังดีที่แกยังอยู่ใกล้ๆ ผม หากว่าแกไปจากผมแล้ว ผมคิดว่าในชาตินี้ผมคงไม่มีความสุขแน่ๆ” ผมพูดแล้วก็ถอนหายใจ เพราะรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทันที แต่ก็ได้ยินท่านพูดขึ้นว่า “อาตมาก็เห็นใจคุณโยม แต่เด็กคนนี้เป็นคนมักน้อย และอาตมาก็อยากจะพูดว่าสิ่งใดที่ได้มาง่าย ก็ทำให้ผู้ได้มารู้สึกว่ามีค่าน้อย หากสิ่งนั้นได้มาด้วยความยากลำบาก ก็ยิ่งมองเห็นความดีเด่นชัดยิ่งขึ้น เมื่อได้มาก็ยิ่งเป็นสิ่งมีค่าควรถนอมเป็นธรรมดาของมนุษย์ปุถุชนทั่วๆ ไป อย่างคุณโยมได้สิ่งของมาด้วยความยากลำบากเช่นนี้ ก็ย่อมจะทราบได้ว่าสิ่งนั้น ย่อมเป็นสิ่งที่หายาก คุ้มกับคุณค่าของความยากลำบาก ความพยายามของคุณโยมนั้นย่อมจะประสบผลผลตามความปรารถนาสักวันหนึ่งข้างหน้า” ผมได้ยินท่านพูดเช่นนั้นก็บอกว่า “ผมยังมองไม่เห็นว่าจะสำเร็จตามความประสงค์เมื่อใด” พระภิกษุนั้นจึงพูดว่า “อาตมาคิดว่าคงจะไม่นานนัก” และแล้วเราก็สนทนากันด้วยเรื่องอื่นๆ ต่อไป จนได้เวลา คนงานและเด็กวัยรุ่นของผมกลับมาพร้อมด้วยสำรับอาหาร เพื่อถวายเพล เมื่อเห็นทุกสิ่งเรียบร้อยแล้ว ผมก็นมัสการลาท่านกลับที่พัก ปล่อยให้คนงานกับเด็กวัยรุ่นของผมอยู่ปรนนิบัติ สนทนากับท่านต่อไป เมื่อผมกลับมาถึงที่พักก็รู้สึกอ่อนเพลีย เพราะเหตุการณ์ต่างๆ ทำให้เกิดความรู้สึกตื่นเต้นทางจิตใจ เมื่อทานอาหารแล้วก็นอนพักผ่อนไม่ช้าหลับไป จะนานเท่าใดไม่ทราบเห็นจะเป็นเวลาเย็นแล้ว พอลืมตาขึ้นมาก็เห็นเด็กวัยรุ่นนั่งอยู่ข้างๆ เห็นมีธูปเทียนแพอยู่ในพานวางไว้ข้างตัว ผมจึงลุกขึ้นนั่งถามว่า “เธอกลับมานานแล้วหรือ” เด็กวัยรุ่นตอบว่า “ไม่นานหรอกครับ แต่เมื่อเข้ามาเห็นท่านหลับ ผมก็เลยนั่งรอท่านอยู่” ผมจึงถามต่อไปว่า “เธอเอาธูปเทียนมาทำไม หรือจะลาบวช” เด็กยิ้มแล้วตอบว่า “ผมจะมาฝากเนื้อฝากตัว นับถือท่านเหมือนบิดาบังเกิดเกล้า” ผมรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที หูตาสว่างใจเป็นสุขขึ้น จึงพูดว่า “เธอจะทำอย่างไรล่ะ” เด็กวัยรุ่นไม่พูดอะไร ยกพานธูปเทียนแพและดอกไม้ไปกราบพระพุทธรูป ผมมองดูแกปฏิบัติด้วยความตื่นเต้น เสร็จแล้วเด็กหนุ่มก็ยกพานมาวางไว้ข้างหน้าผม แล้วกราบลงสามครั้ง พร้อมกับพูดขึ้นว่า “กระผมจะมาขอเคารพท่านเป็นบิดาบังเกิดเกล้าของผม นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ผมจะปฏิบัติตัวให้อยู่ในศีลธรรม จะมีความซื่อสัตย์สุจริตจะไม่นำความชั่ว และความเสื่อมเสียมาสู่ท่าน จะประพฤติแต่สิ่งที่ดีงาม ขอพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จงเป็นที่พึ่งที่ระลึกจนตลอดชีวิต ขอให้ท่านรับผมไว้เป็นบุตรของท่าน นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป” ผมปลื้มใจจนน้ำตาไหล รีบสวมกอดแกด้วยความรักแล้วพูดว่า “ลูกรักของพ่อ พ่อเฝ้ารอเวลานี้มานานแล้ว เพิ่งจะได้สมความตั้งใจวันนี้เอง พ่อดีใจมาก ดีใจจนพูดอะไรไม่ถูก ลูกต้องอยู่กับพ่อตลอดไปนะ ไม่มีอะไรจะแยกจิตใจของความเป็นพ่อลูกของเราออกได้จนตลอดชีวิต” เด็กหนุ่มก้มลงกราบแล้วพูดว่า “ครับผมจะนับถือคุณพ่อไปจนตลอดชีวิต” นี่แหละครับ เป็นจุดหมายปลายทางที่ผมต้องการ ผมได้ทราบว่าการที่เด็กปฏิบัติต่อผมเช่นนั้น ก็เพราะได้รับคำแนะนำจากพระภิกษุสลัดดำเป็นผู้สั่งสอนให้ทำ ผมซาบซึ้งใจในความกรุณาของพระคุณเจ้าองค์นี้ยิ่งขึ้น เช้าวันรุ่งขึ้น ผมได้สั่งให้คนงานไปนิมนต์ท่านมาอยู่ในเขตบ้านไร่ของเรา และนิมนต์ฉันอาหารเช้าด้วย เพื่อจะได้เปิดโอกาสให้บุตรผมได้ปรนนิบัติท่านได้สะดวกขึ้น ด้วยความเลื่อมใส และเคารพ แต่แล้วผมก็ต้องผิดหวัง ที่ได้ทราบจากคนงานที่กลับมา

เด็กข้างถนน : โดย ท.เลียงพิบูลย์ 9

และบางเวลาก็มีพระสงฆ์เข้าไปเทศนาอบรมสั่งสอน ทำให้ชายผู้นั้นนึกถึงตัวว่านี่เป็นกรรมที่ทำไว้ เพราะความชั่วจึงต้องถูกทรมานทั้งร่างกายและจิตใจ ต้องก้มหน้ากัดฟันทนไปจนกว่าจะใช้กรรมจนถึงวันสิ้นสุด เมื่อนักโทษมีเวลาอยู่ใกล้ชิดกันเช่นนี้ ต่างก็ถามถึง สาเหตุที่ต้องโทษและก็เล่าสู่กันฟัง แต่ก็มีนักโทษเก่าๆ บางคนที่สนใจในการอบรมของพระสงฆ์ บางคนกลับอวดอ้างความรู้ของตัวเก่งกล้าสามารถ อวดอำนาจวิชาไสยศาสตร์ของตนว่าอยู่ยงคงกระพัน และอวดอ้างการผจญภัยอย่างโชกโชนของตนให้ทราบ เพื่อข่มขวัญนักโทษที่มาใหม่ให้เกรงกลัว จะได้ยกตนให้เป็นใหญ่ มีพวกพ้องมากในหมู่นักโทษด้วยกันนักโทษที่เข้าไปใหม่ๆ มีความกลัวและขวัญไม่ดีอยู่ ก็เลยยึดถือเป็นที่พึ่งฝากเนื้อฝากตัวนับถือยกขึ้นเป็นอาจารย์ เรื่องของพวกนักโทษที่ทำผิดนั้นมีมาก เท่าที่เล่าสู่กันฟังบางคนส่วนมากไม่มีสันดานผู้ร้ายมาก่อน บางคนมีความรู้ความประพฤติตลอดจนฐานะดี รู้สึกผิดชอบชั่วดี แต่ต้องมารับกรรม ก็เพราะได้ทำผิดด้วยความประมาท ทำลายชีวิตคนบนท้องถนนหลวงโดยไม่ตั้งใจ บางคนก็ดื่มเหล้าเมาไม่ได้สติ ทำผิดไปโดยไม่รู้สึกตัว มีนักโทษผู้หนึ่งเล่าให้ฟังว่าเขาต้องมาใช้กรรมเพราะความโกรธเป็นต้นเหตุ ตนเองอยู่ในอำนาจของโทสะไม่สามารถจะยับยั้งจิตใจคุมให้สงบได้ จึงทำสิ่งที่ไม่สมควรลงไป คือ ลุแก่อำนาจโทสะ ทำร้ายคนมีอาการปางตาย แต่เมื่อรู้สึกตัวว่าตนได้ทำความผิด ทุกสิ่งทุกอย่างก็สายเกินที่จะแก้ไขให้คืนเป็นปกติได้แล้ว ฉะนั้น คนสมัยก่อนจึงเตือนไว้ว่า เวลารู้สึกว่าจะโกรธก็ให้นับหนึ่งถึงสิบ เสียก่อนที่จะทำอะไรลงไป เพราะคนเราเวลาโกรธนั้น เหมือนคนบ้าขาดความยั้งคิด ลืมทุกสิ่งทุกอย่างของตน การที่คนสมัยก่อนให้นับหนึ่งถึงสิบนั้น ก็จะให้ผู้อยู่ในอารมณ์โกรธนั้น ได้มีเวลาคิดพอที่จะยับยั้งชั่งใจ ได้สติรู้สึกผิดชอบชั่วดี พอจะหยุดยั้งไม่ประกอบกรรมชั่วตามอารมณ์ของตน นอกจากผู้เล่าเรื่องนี้แล้ว ก็คิดว่ามีนักโทษจำนวนไม่น้อยที่ต้องมาติดโทษ เพราะความโกรธเป็นต้นเหตุ เรื่องราวของนักโทษที่ต้องมาใช้กรรมในที่นั้นมีมากมาย แต่มีเรื่องหนึ่งที่ทำให้ชายผู้นั้นต้องสะเทือนมากกว่าเรื่องอื่น ก็คือ เรื่องของชายนักโทษผู้หนึ่งซึ่งเล่าว่า ตนเป็นผู้ที่มีความชำนาญในทางโจรกรรม ตัดช่องย่องเบาและฉกชิงวิ่งราว มีเพื่อนร่วมใจด้วยกันอีกสองคน ในคืนวันหนึ่งเขาได้เข้าไปทำการโจรกรรมในบ้านของผู้ที่มีฐานะปานกลางผู้หนึ่ง เป็นคราวเคราะห์ของเจ้าของบ้าน และเป็นโชคดีของผู้ทำการทุจริตทั้งๆ ที่ไม่เคยนึกเลยว่าบ้านนั้นจะมีเงินสดมากเกินกว่าฐานะคนชั้นนั้นจะมีได้เมื่อได้ ลาภมากมายเช่นนั้น ต่างก็ดีใจแบ่งเงินกันใช้จ่ายอย่างสนุกสนาน เพราะเงินหามาได้ง่ายๆ ไม่ต้องใช้ความพยายามให้เหนื่อยยากลำบาก ความเสียดายจึงไม่มี ต่อมาก็ได้ข่าวว่าเจ้าของบ้านที่ถูกชายผู้นั้นเข้าทำการโจรกรรม ได้ฆ่าตัวเองโดยผูกคอตาย และไม่ทราบเหตุผล ทรัพย์สินก็ไม่มีเหลือพอที่จะให้ภรรยาแบะบุตรครองชีวิตต่อไป แม้แต่บ้านที่อยู่ก็ได้ขายฝากเอาไว้ทิ้งภรรยาและบุตรที่ยังเยาว์ตาดำๆ อีก ๔ คน ไว้เผชิญโลกโดยลำพัง บุตรทั้งสี่คนนั้นเป็นชายสามหญิงหนึ่ง คนโตอายุเพียง ๑๑ ขวบ คนรองอายุ ๗ ขวบ คนที่ ๓ อายุเพียง ๕ ขวบ คนสุดท้อง อายุเพียง ๒ ขวบเท่านั้น ซึ่งต้องกำพร้าพ่อตั้งแต่อายุยังน้อย ยังรับผิดชอบตัวเองไม่ได้ ต้องอยู่ในความดูแลของภรรยาของผู้ตายซึ่งเป็นมารดาของเด็ก ผู้ที่มาร่วมฟังเรื่องราวอยู่ด้วยหลายคน ต่างก็เศร้าใจบางคนก็สนใจอยากรู้เรื่องให้ตลอด ถึงกับซักถามนักโทษผู้นั้นเป็นเจ้าของเรื่องว่า การที่เจ้าของบ้านฆ่าตัวตายนั้น เกี่ยวกับเรื่องที่ถูกขโมยเงินไปจนหมดตัวหรือเปล่า หรืออาจจะเป็นเพราะเงินที่อยู่ในความรับผิดชอบของตนหายไป บอกใครก็คงไม่มีใครเชื่อว่าถูกโจรกรรม และไม่สมารถจะหาเงินมาใช้แทนได้ เมื่อหาทางออกไม่ได้ก็เลยคิดฆ่าตัวตายก็อาจจะเป็นได้ แต่ชายนักโทษเจ้าของเรื่องก็ไม่สามารถจะตอบได้ เพราะไม่รู้เบื้องหลังของชายที่ฆ่าตัวตายคนนั้นมาก่อน เหตุที่รู้เรื่องมาถึงแค่นั้น ก็เป็นเพราะบ้านของนักโทษผู้นี้อยู่ห่างไกลจากบ้านผู้ตายมากนัก บอกได้แต่เพียงว่าการที่ตนต้องมาต้องโทษไม่ได้เกี่ยวกับคดีเรื่องนี้ ต่อจากนั้นมาก็รู้สึกว่านักโทษที่มีใจเป็นธรรมได้ฟังเรื่องนี้หลายคน พลอยจะไม่ชอบหน้านักโทษผู้เล่าเรื่องนี้ เพราะเห็นใจสงสารครอบครัวผู้เคราะห์ร้าย หลายครั้งที่มีผู้จะหาเรื่องลงทัณฑกรรมนักโทษผู้นั้นเพราะชังน้ำหน้า เนื่องจากเป็นเต้นเหตุทำให้ครอบครัวนั้นต้องรับกรรม นักโทษผู้นั้นเห็นจะเข้าตำราที่โบราณว่า ปลาหมอตายเพราะปาก เพราแทนที่นักโทษด้วยกันจะยกย่องในความเก่งกล้า กลับพากันเห็นใจภรรยาและบุตรของเจ้าของทรัพย์ ที่ต้องได้รับเคราะห์กรรมอย่างแสนสาหัส เป็นการตัดความรุ่งเรืองก้าวหน้าในอนาคตของพวกเด็กๆ ที่ควรจะได้รับ หากบิดายังมีชีวิตอยู่ ทั้งแม่และลูกจะต้องอยู่กันไปตามยถากรรม เพราะลำพังกำลังของแม่เพียงผู้เดียวคงไม่อาจจะให้การศึกษาแก่ลูก ได้มากเท่าที่ควร แต่ความจริงแล้วก็มิใช่ความผิดของนักโทษผู้ก่อเรื่องนี้ขึ้น เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าเงินจำนวนนั้นจะมีความสำคัญเกี่ยวแก่ชีวิตของครอบครัวนี้ ถึงกับต้องสูญเสียพ่อบ้านไป และไม่นึกว่าเหตุการณ์จะรุนแรงเกี่ยวโยงไปถึงชีวิตอีกหลายชีวิต ที่จะต้องรับเคราะห์กรรมต่อไปในอนาคต สิ่งเหล่านี้กระเทือนใจชายผู้นั้นมาก เพราะตนเองก็เคยประกอบกรรมชั่วแบบนี้ไว้มาก และตนเองก็ไม่เคยสนใจในเรื่องเช่นนี้มาก่อน แต่เมื่อฟังพระสงฆ์สอนศีลธรรมนานเข้า เมื่อมาได้ฟังเรื่องเศร้ากลับนึกละอายอดสูใจยิ่งขึ้น ทำให้นึกถึงคนที่ตนได้เคยโจรกรรมมาแล้ว คงจะมีคนที่อยู่ในสภาพเช่นนั้นบ้าง ทำให้คิดสงสารคนที่ถูกโจรกรรมเท่าที่เคยรู้ สำหรับผู้ที่ไม่มั่งมีอะไรนัก ต้องอุตสาหะพยายามหาทรัพย์มาด้วยความเหนื่อยยากลำบาก หามาด้วยน้ำพักน้ำแรงหากินด้วยความสุจริตมิได้คิดคดโกงใคร เพื่อที่จะสะสมเงินไว้ให้ลูกในอนาคต เมื่อรู้ว่าถูกลักขโมยไปจนหมดตัว บางรายที่เป็นหญิงก็ถึงกับร้องไห้เป็นลมไป เพราะเสียดายทรัพย์สินที่สะสมไว้ พวกเที่เก็บเงินไว้กับบ้านไม่ยอมนำไปฝากธนาคารยังมีอีกมากเป็นเรื่องน่าเศร้าใจที่สุดในชีวิต ความรู้สึกผิดชอบก็ค่อยๆ เกิดขึ้นในจิตใจของชายผู้นั้น ต่อมาชายผู้นั้นเพิ่มความสนใจในศีลธรรมบาปบุญมากขึ้น เมื่อได้ฟังพระเถระผู้ทรงศีลอันบริสุทธิ์ ซึ่งได้รับการนิมนต์ ให้เข้าไปอบรมเทศนาสั่งสอน เพื่อให้พวกนักโทษรู้ซึ้งถึงรสพระธรรมของพระพุทธศาสนา กล่อมเกลาให้เห็นศีลธรรมเห็นบุญเห็นบาป ให้พิจารณาสำรวมในตัวเองว่า ได้เคยทำสิ่งใดไว้บ้างจึงต้องตกอยู่ในสถานที่เช่นนี้ เราทำชั่วเราก็หนีกรรมชั่วไม่พ้น อย่าไปหวังพึ่งอ้อนวอนพระเจ้าองค์ไหน ที่จะใช้อำนาจมาลบล้างให้หายจากความผิดความชั่วได้ เราเองต้องก้มหน้ารับใช้กรรมจนกว่าจะสิ้นกรรม เมื่อหมดเวรวันเป็นอิสระก็มาถึง ก็จงประกอบกรรมดีต่อไป ชายผู้นั้นก็เกิดกุศลขึ้นทางใจ เมื่อได้รับการอบรมสัจธรรมจากพระเถระผู้ทรงคุณธรรม เทศนาโปรดชี้ให้เห็นทางดีบ่อยเข้า จิตใจก็เกิดศรัทธา มองเห็นผลกรรมที่ทำมาแต่หนหลัง กิเลสที่ปิดบังดวงตาที่มืดมัวมานานก็ค่อยๆ กระจ่างแจ้งเป็นแสงสว่างมองเห็นความจริงยิ่งขึ้นอย่างชัดแจ้ง ที่พวกนักโทษต้องมาถูกจำจอง ก็เพราะกรรมชั่วที่ตนเคยสร้างไว้ หากว่าบุคคลเหล่านี้สร้างกรรมดีก็คงไม่มาอยู่ในสถานที่คุมขังได้รับความลำบากเช่นนี้ มองเห็นชีวิตที่หากินในทางทุจริต มีการจี้ปล้นฆ่าเจ้าทรัพย์ ทำให้ปวงชนผู้สุจริตได้รับความเดือดร้อน นอนตาไม่หลับ แม้ตนเองจะได้ทรัพย์สินไป ก็หาความสุขความสบายไม่ได้ เพราะทรัพย์สินเหล่านั้นเป็นเลือดเนื้อของผู้บริสุทธิ์ แม้ว่ายังไม่ถูกจับกุมก็หมดอิสระภาพทางใจ เพราะเป็นภัยต่อสังคมเป็นที่รังเกียจของคนดีทั่วไป ต้องคอยหลบหลีกอาญาแผ่นดิน นับวันมีแต่จะเพิ่มพูนกิเลสให้มีจิตใจโหดเหี้ยมยิ่งขึ้น ถือเอาอารมณ์ของตนเป็นใหญ่ หูตามืดมัว มองไม่เห็นศีลธรรม เหมือนคนว่ายน้ำออกทะเลลึก ยิ่งห่างจากฝั่งของศีลธรรมออกไปทุกที สิ่งที่ได้รับก็คือมีชีวิตอยู่ได้ไม่ยืดยาวเหมือนคนธรรมดา ส่วนมากต้องจบชีวิตลงเมื่อยังไม่ถึงเวลาที่สมควร คือจบชีวิตลงด้วยคมอาวุธหรือกระสุนปืน หรือมิฉะนั้น ก็จบชีวิตลงโดยเข้าไปอยู่ที่คุมขัง เวลาตายจิตใจก็ไม่สงบ ผิดกับผู้มีศีลธรรมหากินในทางสุจริต ไม่เบียดเบียนมนุษย์และสัตว์ ท่านเหล่านี้ตายตามอายุขัยตามธรรมชาติคือ เจ็บและแก่ตาย จิตก็อยู่ในความสงบ เหตุด้วยพิจารณาดูสิ่งที่เกิดและผ่านไปในอดีต เนื่องจากได้รับการอบรมสั่งสอนจากพระเถระ ทำให้เกิดความรู้สึกซาบซึ้งในรสพระธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เลยตั้งปฏิญาณไว้ว่า เมื่อพ้นโทษจากที่คุมขังไปแล้ว จะใช้เวลาที่เหลืออยู่ทั้งหมดในอนาคตของชีวิตประกอบแต่กรรมดี เพราะความชั่วที่ได้ผ่านไปแล้ว ก็ไม่สามารถเรียกย้อนหลังกลับมาแก้ไขให้ดีได้ มีทางเดียว คือ ลืมเรื่องราวในอดีตเสีย และตั้งต้นทำความดีไป ในเวลาต่อมา บุคคลผู้นั้นก็พ้นโทษออกมาสู่อิสระภาพอีกครั้งหนึ่ง แม้ว่าบุคคลผู้นั้นจะมีรูปร่างท่าทางเหมือนเดิม แต่จิตใจได้เปลี่ยนแปลงไปจนหมดสิ้น ในที่สุดเขาก็เข้าสู่ร่มโพธิ์ของบวรพุทธศาสนา โดยได้อุปสมบทครองผ้ากาสาวพัสตร์ อุทิศตนเป็นคนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่แหละญาติโยมทั้งหลาย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับบุคคลผู้นั้น คงจะเป็นตัวอย่างของชีวิตแก่บุคคลอื่นทั่วไป “บุคคลผู้นั้นคือตัวอาตมาเอง”

เด็กข้างถนน : โดย ท.เลียงพิบูลย์ 8

“ในที่นี้ไม่มีสลัดดำ คงมีแต่พระภิกษุ ที่จำศีลภาวนาเจริญรอยตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อได้ล่วงพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงในโลกมนุษย์ อันมีความ เกิด แก่ เจ็บ ตาย โลภ รัก โกรธ หลง เป็นต้นเหตุ เป็นกองกิเลสที่มนุษย์ยังลุ่มหลงงมงายเวียนว่ายอยู่ในกองทุกข์ อาตมาได้ศึกษาพระธรรมวินัย จึงเกิดปัญญาพิจารณา เห็นจริงในเหตุที่เกิดทุกข์ และทางที่จะดับทุกข์ ฉะนั้นชื่อสลัดดำ ซึ่งมีชื่อในทางชั่วร้ายหากินในทางทุจริต จึงไม่มีอยู่ในโลกนี้อีกต่อไปแล้ว” ผมได้ยินท่านพูดเช่นนั้นก็ขนลุกเกิดตื้นตันใจจนน้ำตาไหล ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกัน เพราะผมได้เคยสั่งคนงานและพวกชาวบ้านทั่วไป ให้ระวังชายที่ชื่อสลัดดำ และบอกรูปร่างให้ทราบกันแล้วทุกคน ถ้าพบบุคคลผู้นี้ที่เป็นฆาตกรตัวร้ายให้รีบมาบอกด่วน เพราะได้มีผู้ส่งข่าวส่วนตัวบอกให้ผมทราบว่า ชายผู้นี้ได้พ้นโทษออกมาแล้ว แต่ผมได้ปิดเป็นความลับ ผมเองก็ไม่สบายใจ แต่ผมไม่อยากบอกให้เด็กรู้ เพราะกลัวแกจะเพิ่มความไม่สบายใจขึ้น แต่เหตุการณ์ประหลาดก็เกิดขึ้น โดยที่สลัดดำได้มาปรากฏตัวขึ้นปลายไร่ในร่างของพระภิกษุสงฆ์ เป็นธรรมดาที่ทุกคนจะต้องงงและตกตะลึง แล้วพระภิกษุก็เรียกเด็กวัยรุ่นเข้าไปหาใกล้ๆ เมื่อเด็กคลานเข้าไปใกล้ท่านแล้วก็กราบลงตรงหน้าสามครั้ง ทุกคนต่างเห็นกันว่าเด็กคนนี้เข้าพระได้เรียบร้อยมาก ผิดกับเด็กที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน เมื่อกราบเสร็จเรียบร้อยแล้วพระท่านก็ถามว่า “เป็นอย่างไรบ้างเจ้าหนู มาอยู่นี่คงมีความสุขดี อาตมาคิดถึงเจ้ามาก เพราะเจ้าทำบุญคุณให้อาตมาไม่น้อย” เสียงเด็กวัยรุ่นกล่าวตอบอย่างตะกุกตะกักว่า “กระผมสบายแต่ร่างกายเท่านั้นครับ หลวงพี่ แต่จิตใจมีแต่ทุกข์ผมพูดไม่ถูก มองหน้าหลวงพี่ไม่สนิท ผมมีความละอายใจเพราะคิดว่าผมได้ทำผิด ทำให้หลวงพี่ต้องได้รับความทุกข์ยากลำบากเข้าไปรับโทษ เพราะการกระทำของผมคนเดียว แม้ว่ากระผมไม่มีใจเจาะจงจะให้เป็นเช่นนั้น แต่ก็เหมือนว่ากระผมเป็นคนทรยศเนรคุณ เหตุนี้จึงทำให้กระผมไม่เคยมีความสุขเลย เพราะใจนึกแต่ว่าผมทำผิด” พระภิกษุยกมือลูบศีรษะเด็กหนุ่ม ซึ่งหมอบอยู่ตรงหน้าด้วยความเมตตา แล้วพูดขึ้นด้วยเสียงอ่อนโยนเจือไปด้วยความกรุณาปรานีว่า “ลืมมันเสียเถิดเจ้าหนู เธอไม่มีความผิด แต่เธอกลับมีความชอบ การกระทำของเธอถูกต้องแล้ว ความผิดย่อมมีแก่คนทำชั่วมิใช่มีแก่คนทำดี กรรมย่อมตามสนองเป็นธรรมดา คนเราเมื่อทำชั่วยังไม่เคยรู้จักความทุกข์ ก็ยังมองไม่เห็นทางทำดีในธรรม เธอไม่ต้องกลัวอีกแล้ว เพราะไม่มีนายสลัดดำผู้มีใจเหี้ยมโหด ไม่มีการแก้แค้น ไม่มีการอาฆาต ไม่มีการสังหารเกิดขึ้นจากน้ำมือของสลัดดำอีกต่อไป เธอคงไม่รู้ตัวว่า การกระทำของเธอครั้งนั้นได้ทำให้ผู้หลงผิดเป็นชอบหูตาสว่างขึ้น เกิดกุศลขึ้นทางจิตใจมองเห็นแสงสว่างของธรรมะ” เมื่อท่านพูดกับเด็กวัยรุ่นเสร็จแล้ว ท่านก็หันมาทางผู้ที่นั่งคอยจะประเคนอาหารเช้า ขณะนั้นทุกคนในที่นั้นนั่งเงียบฟังพระภิกษุกับเด็กหนุ่มพูดกัน เวลาล่วงไปยิ่งสาย ชาวบ้านก็ยิ่งทยอยกันเข้ามามีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ รู้สึกว่าจะเป็นธรรมดาของชาวบ้านแถวนั้นที่พอทราบว่า มีพระธุดงค์มาปักกลดต่างพากันมาหาไม่ขาดสาย ท่านหันไปยิ้มทักท่านปราศรัยทั่วกัน แล้วจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นปกติว่า “ก่อนที่อาตมาจะรับประเคนของญาติโยมผู้มีจิตศรัทธาทั้งหลายโดยทั่วถึงกัน และขอเวลาให้อาตมาสักหน่อย เพราะอยากจะบรรยายเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตบุคคลหนึ่ง เป็นเรื่องที่ญาติโยมทั้งหลายควรที่จะทราบไว้ เพื่อเป็นประโยชน์ หรือเพื่อเป็นข้อที่นำไปคิดประดับความรู้ในเรื่องความดีความชั่ว เพราะเป็นเรื่องที่อาตมาได้รู้ได้เห็นทุกข์ เมื่อได้รับทุกข์ด้วยตนเองจึงเกิดรู้สึกผิดชอบชั่วดี เมื่อได้ฟังเทศนาสั่งสอนอบรมของพระเถระผู้ทรงธรรมอันสูงแล้ว จึงเห็นแจ้งในที่เกิดทุกข์” เรื่องมีว่า ครั้งหนึ่งมีหัวหน้าผู้หากินทุจริตผิดกฎหมาย ได้วางแผนการณ์ที่จะเข้าทำการโจรกรรมในบ้านผู้มีชื่อผู้หนึ่ง แต่แล้วแผนการณ์ได้รั่วไหลไปถึงเจ้าทรัพย์ จนรู้ตัวเสียก่อนที่จะลงมือ ที่สุดผู้ทุจริตก็ถูกผู้รักษากฎหมายจับตัวได้ ผลกรรมชั่วที่ทำมาทำให้ต้องเข้าไปรับกรรมตามกฎหมาย ถูกตัดสินจองจำอยู่ในที่คุมขัง ชายผู้นั้นมีความโกรธแค้นมากคิดว่า แผนการณ์ของตนถูกทำลาย ครั้งนี้จะต้องมีคนหักหลัง มิฉะนั้นเจ้าทรัพย์และผู้รักษากฎหมายคงไม่รู้ละเอียดเช่นนี้ ภายหลังจึงได้ทราบว่ามีเด็กคนหนึ่งนำความไปบอกเจ้าทรัพย์ให้รู้ตัวก่อน และก็เป็นเหตุบังเอิญบ้านที่จะเข้าโจรกรรมนั้น เจ้าของบ้านเคยเป็นผู้มีบุญคุณกับเด็กคนนั้นมาก่อน เมื่อทราบเช่นนั้น ชายผู้ทุจริตก็โกรธแค้นเด็กคนนั้นถึงขนาดออกปากว่า ถ้าพ้นโทษวันไหนก็จะตามล้างแค้นให้สาสมกับความเจ็บใจ เมื่อชายผู้นั้นถูกส่งเข้าไปรับกรรมชั่ว ทนทุกข์ในบริเวณเรือนจำแล้ว ก็รู้สึกตัวเองนั้นหมดความเป็นอิสรภาพ ได้รู้ได้เห็นเหตุการณ์ต่างๆ ในที่ต้องจำขัง อยู่ภายใต้กำแพงอันสูงใหญ่แน่นหนา เป็นเขตกั้นขาดจากโลกภายนอก เหมือนอยู่อีกโลกหนึ่งเป็นโลกของทรชนผู้มีบาป เป็นสถานที่ที่คนชั่วต้องมาใช้หนี้กรรมชั่วที่ตนได้ทำไว้ เป็นโลกที่จำขังผู้มีแต่ความโหดเหี้ยม จิตใจหยาบช้าเป็นที่ห่างไกลจากผู้มีศีลธรรม ห่างไกลจากความสดชื่นอ่อนหวาน ห่างจากสิ่งเจริญตาเจริญใจทั้งปวง ห่างจากญาติพี่น้อง พ่อ แม่ บุตร ภรรยา และมิตรสหายที่รัก นักโทษที่เข้าไปใหม่นั้น ถ้าไม่ใช่ผู้ร้ายใจแข็งเหี้ยมโหดมาแต่กำเนิดแล้ว ย่อมจะมีจิตใจหวั่นไหวเกรงกลัว เพราะชื่อก็ไม่เป็นมงคล ทำให้ประสาทและสมองสับสนหวาดหวั่นขวัญเสียตลอดเวลา ไม่รู้ว่าจะมีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นกับตัวต่อไป นึกกลัวว่าจะต้องทำงานหนัก นึกกลัวจะถูกเฆี่ยนถูกโบย กลัวจะถูกตีตรวน มันเหมือนกับอยู่ในยมโลก ซึ่งมียมทูตนำตนมาส่งให้ยมบาล นักโทษบางคนที่ประสาทอ่อนกลัวจนแทบเป็นบ้า เพราะเห็นแต่หน้านักโทษส่วนมากเหี้ยมเกรียมกิริยาดุร้าย กักขฬะ วาจาสามหาว หยาบคาย สวมเสื้อผ้าสกปรก หูก็ได้ยินแต่เสียงโซ่ตรวนที่นักโทษเดินลากไปมา บางคนก็เอาผ้าพันขา บางคนพันที่ตรวนไว้ไม่ให้เหล็กเสียดสีกับเนื้อขา ทุกคนต้องทำงานตรากตรำตลอดเวลา บางคนก็แบกหามมือหนึ่ง อีกมือหนึ่งก็คอยจับโซ่ตรวนที่ขาดึงขึ้นมาให้ตึง ไม่ยอมให้เหล็กถูกกับเนื้อขา กลัวจะถูกเนื้อหนังตามแข้งขาถลอกจะเกิดเป็นแผลมองดูก็เห็นความลำบาก บางพวกก็ทุบหินขนหิน ตามแต่ทางการจะใช้งาน นอกจากเสียงโซ่ตรวนที่ได้ยินจำเจ เสียงตะโกนโต้ตอบกันด้วยถ้อยคำหยาบคาย เมื่อถึงเวลาเยี่ยมก็มีเสียงจอแจเหมือนอยู่กลางตลาดตลอดเวลา สำหรับพวกที่มีความรู้ และพวกช่างต่างๆ ก็ได้ทำงานที่ตนถนัด งานจึงเบากว่าพวกที่แบกหาม มีนักโทษบางคนที่กักขฬะ เมื่อเห็นนักโทษที่มาใหม่มีหน้าตาหมดจดก็คอยจ้องดูหมายตาไว้ แล้วตะโกนเชิงจองไว้ก่อนว่า “คนนี้เป็นของมึง คนโน้นเป็นของข้า ใครจะแตะต้องไม่ได้” ต่างก็อวดฤทธิ์เดชว่า ตนเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในหมู่นักโทษ ด้วยต่างถือสิทธิ์นักโทษใหม่ที่ตนชิงจองกันไว้ หากมีนักโทษผู้อื่นขัดขวางแย่งเอาไป ก็มักใช้กำลังต่อสู้ทำร้ายซึ่งกันและกัน นักโทษที่เข้าไปใช้กรรมในที่คุมขัง ต่างก็มีประวัติความผิดที่ตนได้ประกอบขึ้นด้วยกันทุกคน มีผิดมากผิดน้อยก็ได้รับโทษหนักและเบาตามกรรมที่ผู้นั้นประกอบขึ้น ในคดีที่นักโทษต้องอุกฉกรรจ์ และผู้มีสันดานผู้ร้ายมาแต่กำเนิด ดุร้าย โทษหนักติดนาน ทางการก็ต้องคุมขังไว้อีกเขตหนึ่งต่างหาก แต่เมื่อนักโทษที่ไม่มีสันดานเป็นผู้ร้ายมาแต่กำเนิด ดุร้าย โทษไม่หนักมากนัก ก็ถูกขังมาอยู่ในที่แออัดยัดเยียดในห้องที่คับแคบ

เด็กข้างถนน : โดย ท.เลียงพิบูลย์ 7

เมื่อพูดแล้ว ผมก็สังเกตเห็นแกมีน้ำตาไหลซึมออกมา ทำให้ผมยิ่งสงสารมากขึ้น แต่นึกในใจว่าเด็กคนนี้เหมือนกับคนไม่มีหัวใจ แต่ก็เด็กคนนี้แหละที่ได้ช่วยป้องกันทรัพย์สินของผม โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนแม้จะหยิบยื่นให้ แล้วผมก็ได้ยินเสียงพูดคล้ายสะอื้นว่า “ได้โปรดเถิดครับ ท่าน อย่า อย่ารับผมไว้เป็นบุตรของท่านเลยครับ ผมจะนำความเดือดร้อนมาให้ท่านได้โปรดเถิดครับ” ผมได้ยินเช่นนั้นก็เสียใจและนึกสงสัยว่า เด็กคนนี้คงจะถูกขู่เข็ญอะไรสักอย่าง แกจึงไม่ยอมมาอยู่กับผม ยิ่งคิดก็ยิ่งเห็นใจและแน่ใจว่าต้องมีเบื้องหลังแน่ ผมจึงปลอบโยนอ้อนวอนขอให้แกบอกเหตุผล ผมจะช่วยแกทุกอย่างไม่ว่าสิ่งนั้นจะยากลำบากสักเท่าใด ในที่สุดแกก็บอกโดยเสียอ้อนวอนผมไม่ได้ แต่อย่างไม่สู้เต็มใจนักว่า “ความจริงผมตั้งใจจะไม่บอกเรื่องนี้ให้ท่านทราบ กลัวว่าจะให้ท่านพลอยเดือดร้อนไปด้วย แต่ก็ไม่มีทางเลือก เพราะจะทำให้ท่านเข้าใจผิดคิดว่าผมเป็นคนเนรคุณ เมื่อไม่มีอะไรที่จะแก้ความสงสัยได้ ผมก็ต้องบอก” เรื่องมีว่า..... เมื่อลูกพี่สลัดดำถูกจับครั้งจะเข้าทำการโจรกรรมที่บ้านของท่าน เมื่อถูกจับตัวได้ ก็ต้องเข้าไปอยู่ในสถานที่จองจำและรับโทษตามความผิด เขารู้ภายหลังว่าผมเป็นคนนำความลับมาบอกกับท่าน เขาถือว่าเป็นการทรยศอย่างร้ายแรง เขาฝากบอกมากับลูกน้องว่า เขาเจ็บใจแทบจะอาเจียนเป็นเลือด แค้นใจที่เกลือเป็นหนอน เคยดูคนไม่ผิด แต่คราวนี้ใช้คนผิด คนที่เขาได้ช่วยเหลือชุบเลี้ยงมากลับเนรคุณ เขาโกรธจนพูดอาฆาตออกมาว่า “อ้ายคนอย่างนี้มันต้องฆ่าเสียทั้งโคตร จึงจะหายแค้น” ฉะนั้น พี่สลัดดำจึงสั่งลูกน้องทุกคนว่า “ข้าให้พวกเอ็งคอยระวัง อย่าให้คนอื่นทำอันตรายอ้ายเด็กคนนี้ ใครไม่เชื่อ ข้าพ้นโทษออกมาได้ ข้าจะลงโทษอย่างหนัก ข้าต้องการแก้แค้น ล้างชีวิตด้วยมือของข้าเอง มันถึงจะหายแค้น พวกเอ็งจำไว้ ต้องทำตามคำสั่งข้า โทษของข้ามีความผิดไม่มากมายอะไรนัก ไม่นานข้าคงได้ออก พวกเอ็งคอยดูว่ามันจะหนีไปอยู่ที่ไหน เมื่อข้าออกไป ข้าขอสาบานว่า สิ่งแรกที่ข้าจะทำคือ ตามสังหารอ้ายเด็กทรยศเพื่อเอาเลือดมันมาล้างแค้น ถ้าญาติพี่น้องของมันอยู่ที่ไหน ข้าจะจัดการให้หมดทั้งโคตรให้สมแค้น” “นี่แหละครับเป็นต้นเหตุที่ผมไม่ยอมให้ท่านมารับบาปร่วมกับผม เพราะถ้าท่านรับผมเป็นบุตรของท่าน ก็ต้องร่วมรับชะตากรรมกับผมด้วย ซึ่งผมทำไม่ได้ เมื่อท่านทราบแล้วกรุณาให้ผมไปตามทางของผมเถิดครับ” เมื่อผมได้ฟังแกเล่าจบก็แทบสะอื้น ด้วยความตื้นตันใจ เด็กคนนี้อายุยังน้อยไม่น่าจะมีจิตใจสูงเกินตัว ยอมเสียสละเพื่อความกตัญญู ผมพูดอะไรไม่ออก ทั้งรัก ทั้งสงสารและเห็นใจ ผมรำพึงในใจว่า ในโลกนี้จะมีเด็กข้างถนนจนๆ ที่จิตใจสูงเช่นนี้สักกี่คน แล้วผมก็ต้องแข็งใจระงับความรู้สึกให้สงบ แล้วจึงปลอบแกว่า “เธออย่าได้วิตกไปเลย เรื่องเพียงเท่านี้ โลกยังมีความยุติธรรมสำหรับคนที่ทำความดี ธรรมะย่อมชนะอธรรม ความดีย่อมชนะความชั่ว ทุกอย่างที่เธอทำไปนั้นเข้าหลักทางธรรมในการสร้างความดี ไม่มีใครมาทำอะไรเธอได้ ฉันยังอยู่ เธอมีความทุกข์ฉันต้องช่วย ครั้งก่อนเธอช่วยทุกข์ของฉัน แต่พอเธอมีทุกข์ ฉันจะปล่อยให้เธอไปเผชิญทุกข์โดยลำพังฉันทำไม่ได้ อยู่กับฉันเถิดเธอจะปลอดภัยทุกอย่าง” เมื่อพูดจบสังเกตดูกิริยาแกไม่ดีขึ้นเลย แกพูดด้วยเสียงเศร้าๆ ว่า “ผมขอกราบขอบคุณท่านที่ให้ความหวัง และกรุณาผมมากครับ แต่สลัดดำนั้นเป็นคนพูดจริงทำจริง ไม่ว่าจะมีอุปสรรคขัดขวางอย่าไร แกก็ไม่ละความพยายาม ด้วยอำนาจของความพยาบาทและความโกรธแค้น แกคงพลิกแผ่นดินหาทุกแห่ง ผมสังหรณ์ใจว่าต้องพบแกแน่ แม้แกพ้นโทษออกมาแล้ว แกคงไม่ยอมให้กฎที่แกตั้งไว้นั้นเป็นหมันไป เพราะมันจะเสื่อมเสียการปกครองลูกน้อง ทำให้หมดความนับถือ” ผมปลอบแกอีกว่า “ฉันรับรองเธอจะไม่เป็นอันตราย แม้แต่เพียงเลือดตกยางออกก็จะเกิดขึ้นไม่ได้ ฉันจะส่งเธอไปที่ไร่ของฉันที่อยู่ต่างจังหวัด เธอเลิกวิตกทุกข์ร้อนได้แล้ว เพราะไร่ของฉันอยู่ไกลหูไกลตาพวกสลัดดำมาก และที่ไร่ของเราก็มีคนงานที่แข็งแรงล้วนแต่เป็นคนที่ซื่อสัตย์ จะไม่มีใครที่แปลกปลอมเข้าไปได้เป็นอันขาด เธอวางใจได้ที่ไร่นั้นมีอากาศดี มีคนงานที่แข็งแรงทุกคนมีใบหน้ายิ้มแย้ม มีแต่ความเป็นมิตร ที่พักก็สบาย ของเครื่องใช้ก็มีพร้อมบริบูรณ์ คงทำให้ใจสบายขึ้นมาก ฉันจะสั่งคนงานทุกคนให้คอยป้องกันเธอ ที่นั่นก็ไม่ใช่ตำบล หมู่บ้านที่ใหญ่โตอะไรนัก เพียงแต่คนแปลกหน้าเข้าไปเราก็จะรู้ทันที เราจะวางคนไว้ตลอดทั้งที่ตลาดและในหมู่บ้าน และชาวบ้านแถวนั้นรักใคร่นับถือฉันมาก ฉะนั้นเธอนอนใจเสียเถิด ทุกคนจะดูแลเธอให้ดีที่สุด ไม่มีใครรอดพ้นสายตาเข้าไปทำร้ายเธอได้หรอก เธอต้องเชื่อฉัน” ผมได้พยายามอ้อนวอนแกให้อยู่กับผม ที่สุดแกก็ตกลง แต่แกขอให้ผมรับแกไว้เป็นเพียงแค่ลูกจ้าง ทำงานอย่างธรรมดา มิฉะนั้นแกจะไม่ยอมไปอยู่ด้วย ผมรู้สึกเสียใจยิ่งขึ้น เพราะขณะนี้ผมมีความรักใคร่แกเหมือนลูก แต่ผมก็ต้องตกลงตามใจแกอย่างน้อยแกก็อยู่ใกล้ผม หลังจากแกเข้าไปอยู่ในไร่ของผม สังเกตดูแกไม่มีอะไรดีขึ้น แกคงเป็นเด็กเจ้าทุกข์ คล้ายกับว่าในชีวิตของแกคงจะหาความสุขไม่ได้ตลอดไป ผมพยายามทุกอย่างเพื่อให้เด็กคนนี้มีความสุขเหมือนคนทั้งหลาย ผมพลอยมีความทุกข์เป็นห่วงแก เลยไม่มีความสุขไปด้วย เพราะความรักเอ็นดูที่ผมมีต่อแก ซึ่งนับวันจะมีมากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่ผมมองเห็นว่าจะนำความสุขมาให้แกได้ ผมไม่เคยนิ่งนอนใจ แต่ก็ไม่ทำให้แกดีขึ้น ความเป็นห่วงทำให้ผมต้องไปอยู่ประจำในไร่ของผมด้วย วัน เดือน ปี ผ่านไปความเป็นคนเจ้าทุกข์ของแกก็ยังคงอยู่อย่างเดิม ผมได้พยายามนำแกไปหาพระตามวัด เพื่อจะช่วยให้จิตใจของแกดีขึ้น และผมคิดว่าเมื่อแกมีอายุครบปีบวชแล้ว ผมก็จะจัดการบวชให้ บางทีแกจะมีความรู้สึกดีขึ้น และคงมีความสุข เมื่อได้รับความสงบทางใจโดยอาศัยรสพระธรรม วันหนึ่งคนในไร่ของเราบอกว่า มีพระธุดงค์มาปักกลดพักอยู่ที่ปลายไร่ทางทิศตะวันออก วันรุ่งขึ้นตอนเช้าผมจึงชวนแก จัดอาหารนำไปถวายพระธุดงค์ เช้าวันนั้นผมจำได้ว่าเป็นวันอาทิตย์ พวกคนงานในไร่หยุดพักผ่อน ผมถือโอกาสชวนคนงานในไร่ที่สมัครไปด้วย เพราะถือว่าอย่างน้อยโอวาทของพระย่อมจะมีประโยชน์ทางจิตใจแก่คนงานเราบ้าง ตกลงในเช้าวันนั้นจึงมีผม เด็กหนุ่มกับพวกคนงานในไร่อีกประมาณ ๓ - ๕ คน ต่างก็ช่วยกันนำอาหารคาวหวานไปถวายพระ ตรงไปยังที่ซึ่งพระธุดงค์กางกลดอยู่ เมื่อเราไปถึงเห็นคนงานในไร่ และชาวบ้านมีทั้งผู้เฒ่าผู้แก่มาคอยอยู่ก่อนแล้ว ๗ - ๘ คน เราก็ทักท่านปราศรัยกันตามที่รู้จักคุ้นเคยกับชาวบ้านพวกนี้มา โดยหวังจะขอเครื่องรางของขลังให้ทำนายโชคชะตาเป็นส่วนมาก ส่วนพระธุดงค์นั้นท่านยังอยู่ในกลดซึ่งยังไม่ได้ตลบขึ้น ยังคลุมถึงพื้นเราจึงมองไม่เห็นท่าน ได้ยินเสียงสวดมนต์ทำวัตรเช้าอยู่ในกลด พวกเราไปถึงก็นั่งรอท่านอยู่ห่างๆ รอบกลด คอยว่าเมื่อท่านสวดมนต์ทำวัตรเช้าเสร็จ แล้วออกมาก็จะประเคนสำรับอาหารคาวหวานซึ่งต่างก็หามาถวาย เมื่อรอจนท่านสวดมนต์ทำวัตรเสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านก็ตลบกลดขึ้น และทักท่านปราศรัยกับผู้ที่ไปคอยถวายอาหารแก่ท่านโดยทั่วกัน ท่านสำรวมอิริยาบถสมกับเป็นสมณเพศ เป็นที่น่าเคารพเลื่อมใส ทุกคนพากันกราบลงด้วยความเคารพ ทันใดนั้นสิ่งประหลาดก็เกิดขึ้น คือ พอเด็กหนุ่มมองเห็นหน้าพระภิกษุรูปนั้นถนัด ก็ร้องออกมาอย่างลืมตัวว่า “หลวงพี่สลัดดำ” ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นได้ยินก็ตะลึง เพราะต่างก็ชินหูกับชื่อนี้มาแล้ว ผมเองได้ยินแล้วก็ตกใจ เมื่อระงับใจเป็นปกติแล้วพิจารณาดูหน้าของพระภิกษุรูปนั้น แล้วก็จำได้ว่าใช่สลัดดำแน่ บัดนี้ท่านได้บวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ไปแล้ว ขณะที่ทุกคนในที่นั้นยังตกตะลึงอยู่ พระภิกษุรูปนั้นก็ไม่ได้แสดงกิริยาให้ผิดปกติ คงสำรวมกิริยาอย่างสงบ ดวงตาของท่านเต็มไปด้วยความเมตตากรุณายิ้ม แล้วก็พูดช้าๆ ว่า

เด็กข้างถนน : โดย ท.เลียงพิบูลย์ 6

ชายแปลกหน้าหัวเราะชอบใจพูดว่า “เออ ให้มันได้อย่างนั้นซิวะอ้ายน้องชาย ข้าเอ็งก็ไม่มีญาติพี่น้องเหมือนกัน มาเราไปอยู่ด้วยกัน ข้าจะเลี้ยงดูเอ็งให้เหมือนน้องข้า” ผมบอกว่า “ขอบคุณครับ พี่ ผมจะไปบอกเจ้าของร้านเขาก่อน” ชายแปลกหน้าตบหลังผมเบาๆ แสดงความกรุณาแล้วพูดว่า “เอ็งมันเป็นเด็กเรียบร้อยกว่าเด็กที่อยู่ในฐานะเดียวกัน ที่ข้าเคยพบมา ไม่ต้องไปบอกเจ้าของร้านก็ได้นี่วะ” ผมจึงว่า “ขอให้ผมไปบอกเขาก่อนดีกว่าครับ เพราะยายผมเคยสอนไว้ว่า จะไปให้ลา จะมาให้ไหว้ และผมนับถือว่าเขาเป็นผู้มีบุญคุณ ที่ได้ให้งานผมทำ” ชายแปลกหน้าหัวเราะอย่างอารมณ์ดีแล้วก็ตอบว่า “เออ ตามใจเอ็ง ข้าคิดว่ายายของเอ็งนี่แกเป็นคนดี ข้าชักจะนับถือยายเอ็งขึ้นมาแล้ว” ต่อจากนั้นผมก็ไปลาเจ้าของร้านอาหารที่ผมเคยทำงาน เมื่อเขารู้ว่าผมจะลาออก เจ้าของร้านก็เสียดายผมมาก และพยายามชี้แจงว่าแกรักผมเหมือนลูกหลาน ไม่คิดว่าเป็นลูกจ้าง ขอให้ผมอยู่ช่วยแกต่อไป ไม่อยากให้ผมออก เมื่อผมบอกว่าผมได้งานที่อื่นแล้ว แกเสียใจและสั่งว่า หากทำที่อื่นไม่สบายก็ขอให้กลับมาอยู่ด้วยกันใหม่ แกยินดีรับผมเสมอ จากนั้นผมก็ลาเจ้าของร้านที่ใจดีและมีความรักอาลัยผมซึ่งผมไม่อาจลืมได้ จากนั้นผมก็ได้มาอยู่กับชายแปลกหน้า ซึ่งผมไม่เคยรู้จักมาก่อนว่าชายคนนี้เป็นใครทำงานอะไร การที่ผมมาอยู่ด้วยก็เพราะเห็นเป็นผู้มีพระคุณได้ช่วยชีวิตผมไว้ สิ่งที่แปลกใจสำหรับผมก็อยู่ที่คนแปลกหน้ามาหาพี่บ่อยๆ แต่บางวันบางคืนก็ไม่มีใครมาเลย และบางเวลาชายแปลกหน้าก็หายหน้าไปหลายวันหลายคืน ได้ทราบว่ามีบ้านอยู่หลายแห่ง ส่วนบ้านที่ผมอยู่นั้นนอกจากผมแล้วยังมีเด็กรุ่นเดียวกันอีกคนหนึ่งชื่อ “แดง” ชีวิตของแดงน่าสงสารมาก แกเล่าให้ผมฟังว่า ชีวิตของแกได้รับความลำบาก และได้รับความกระทบกระเทือนในความรู้สึกเพราะพ่อกับแม่แยกกันอยู่ พ่อก็ไปมีเมียใหม่ แม่ก็ไปมีผัวใหม่ต่างก็ไม่สนใจในเรื่องลูก แกก็ไม่รู้จะไปอยู่กับพ่อหรือแม่ดี แกเป็นเด็กที่น่าสงสารมาก เมื่อไปหาพ่อๆ ก็ไล่ให้ไปอยู่กับแม่ กลัวจะไปทำความรำคาญให้เมียใหม่ ไม่ยอมให้ลูกอยู่ด้วย ครั้นพอไปหาแม่ แม่ไล่ไปหาพ่อเพราะแม่อยากเอาใจผัวใหม่ ที่สุดก็หมดที่พึ่งหมดความอบอุ่นต้องพเนจรไปตามลำพัง เป็นเด็กมีกรรม ต้องอดๆ อยากๆ เพราะพ่อแม่แตกกันไปคนละทาง ลูกยังไม่เดียงสาต้องรับบาป ได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจมากหมดความสุขเหมือนเด็กรุ่นเดียวกันที่ควรมี ไม่มีที่อยู่อาศัยต้องเที่ยวเป็นเด็กข้างถนน ไปพบเด็กจรจัดด้วยกันก็พากันไปนอนตามวัดหรือตามใต้สะพานท่าน้ำ บางครั้งดึกๆ ก็มีตำรวจเข้าไปไล่ต้อนจับ ต้องวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนหลบหลีกไปในกลางดึก เช้าขึ้นก็ไปเที่ยวขอทานอาหารเขากิน ไม่มีอนาคต กลางคืนก็นอนไม่เต็มที่ ต่อมาก็พบชายแปลกหน้าชักชวนให้มาอยู่ด้วย พอจะได้รับความสุขสบายบ้างพอกินอิ่มนอนหลับ เราได้เล่าความทุกข์ยากสู่กันฟัง ที่สุดผมก็รู้ว่าชายแปลกหน้าที่ผมมาอยู่ด้วยคือ สลัดดำ หากินในทางทุจริต มีชื่อเสียงในทางจี้ปล้น ผมรู้สึกตัวว่าได้เข้ามาอยู่ในหมู่คนชั่วเสียแล้ว ผมจะทำอย่างไรดี ที่นั่นมีข้อบังคับว่า ทุกอย่างที่เป็นความลับถ้าใครนำไปบอกกับคนภายนอกถือเป็นการทรยศต่อพวก มีโทษร้ายแรงถึงตาย เพราะฉะนั้นจึงไม่มีใครกล้าทรยศ เมื่อผมได้รู้ความจริงเข้าเช่นนี้ก็ไม่มีความสบายใจ ยังจำคำของท่านสมภารที่ให้คติเหมือนคาถาประจำตัวว่า “พบคนชั่วให้หลีกหนี พบคนดีให้เข้าหา” แต่สลัดดำก็มีบุญคุณกับผม ถ้าผมหนีก็เท่ากับผมเป็นคนเนรคุณ ผมคิดไม่ตกตัดสินใจไม่ถูก ก็พอดีได้ทราบว่าพี่สลัดดำมีแผนการที่จะเข้าโจรกรรมในบ้านของท่าน ผมตกใจมาก เพราะท่านเป็นผู้มีพระคุณต่อผมมาก และท่านก็เป็นคนดีไม่ใช่คนชั่วเหมือนสลัดดำ ผมจึงเลือกที่จะช่วยท่านให้พ้นภัยจากการโจรกรรมครั้งนี้ เพราะผมตัดสินใจในระหว่างคนดีกับคนชั่ว ซึ่งเป็นคนที่มีบุญคุณต่อผมมาทั้งคู่ ผมเลือกที่จะช่วยคนดี โชคเข้าข้างผม เพราะสลัดดำได้ใช้ให้ผมนำความลับมาแนะนำให้แน่นอนกับคนใช้ที่บ้านของท่าน ซึ่งเป็นสายลับของพวกคนร้าย สลัดดำไว้ใจผมมาก ผมจึงมีโอกาสได้มาแอบกระซิบบอกให้ท่านทราบถึงเหตุการณ์ อันนี้แหละครับ เรื่องของผมก็มีเท่านี้” เมื่อผมได้ยินเรื่องราวที่แกเล่าให้ฟัง ยิ่งทำให้ผมรู้สึกสงสารจับใจ และนึกรักเอ็นดูเด็กคนนี้มากขึ้น ผมจึงถามว่า “ทำไมเธอจึงไม่มาหาฉันเลย ทั้งๆ ที่ฉันอยากจะพบอยู่เสมอ เธอเองก็ทำบุญคุณไว้กับฉันมากมาย โดยบอกให้ฉันรู้ล่วงหน้า เป็นการช่วยรักษาทรัพย์สินของฉัน ไม่ให้ถูกโจรกรรม ถ้าเธอไม่บอกฉันก็ไม่รู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะเป็นอย่างไร อาจเสียทั้งทรัพย์สินและเลือดเนื้อ เพราะฉะนั้น ฉันจึงอยากพบเธอมากเพื่อหวังจะตอบแทนความดีของเธอ” เด็กหนุ่มตอบผมด้วยใบหน้าเศร้าว่า “ผมไม่อยากจะให้ท่านคิดมากไปว่า ผมทำเพื่อสินจ้างรางวัล การที่ทำไปก็เพราะท่านเคยมีบุญคุณต่อผมและท่านเป็นคนดี ผมจึงต้องยอมให้เขาตราหน้าว่าเป็นคนเนรคุณพี่สลัดดำ ทั้งๆ ที่เขาก็มีบุญคุณกับผมเหมือนกัน แต่เขาเป็นคนชั่วเป็นคนนอกกฎหมาย ผมจึงตัดสินใจดังที่ท่านทราบมาแล้ว” พูดแล้วเด็กหนุ่มทำหน้าเศร้าๆ จะร้องไห้ ผมจึงปลอบไปว่า “เธออย่าคิดมากไปเลย บุญคุณเป็นเรื่องส่วนตัว ส่วนความชั่วเป็นเรื่องส่วนรวม เท่าที่ทำไปก็เป็นการกระทำที่ถูกต้อง เธอต้องเป็นพลเมืองดี เพราะคนชั่วมีความประพฤติเป็นภัยต่อสังคมส่วนรวม เธอได้ทำความดีไม่ใช่แต่ฉันคนเดียวเท่านั้น แต่เพื่อคนอื่นๆ ซึ่งอาจเป็นเหยื่อรายต่อไปก็ได้ ถ้าไม่จับกุมไปลงโทษเสียก่อน จะทำให้คนสุจริตนอนตาไม่หลับ การกระทำของเธอครั้งนี้ เธอควรจะได้รับการยกย่องไม่มีใครเขาติเตียนเธอ อย่าคิดมากไปเลย” เด็กหนุ่มทำหน้าไม่สบายพูดต่อไปว่า “ถึงเช่นนั้นผมก็อดคิดไม่ได้” ผมจึงบอก “เธอหยุดคิดได้แล้ว ฉันพร้อมที่จะให้เธออยู่ด้วย และไม่ยอมให้เธอไปได้รับความลำบากอีกต่อไป การที่ฉันได้ตัวเธอมานี้ก็ทำให้ฉันดีใจจนพูดไม่ถูก อยากจะบอกว่า ฉันยังไม่เคยได้สิ่งใดที่ทำให้ฉันพอใจเท่าได้เธอมาอยู่ด้วยเลย ฉันคงมีความสุขและสบายใจขึ้นมาก” เมื่อผมพูดแล้วก็คิดว่า เด็กวัยรุ่นคนนี้คงจะยินดีปฏิบัติตาม แต่ผมต้องผิดหวังในเมื่อแกยกมือขึ้นไหว้ผมแล้วบอกว่า “ท่านกรุณาผมมาก แต่ผมไม่อาจจะรบกวนให้ท่านต้องได้รับความลำบากเพราะผม ความจริงผมไม่อยากปฏิเสธความกรุณาของท่าน แต่จำเป็นที่ผมจะอยู่กับท่านไม่ได้ ปล่อยให้ผมไปตามทางเถิดครับ” เมื่อผมได้ยินคำพูดเช่นนี้ผมเองก็ตะลึงงง ไม่นึกว่าเด็กจนๆ คนนี้จะกล้าปฏิเสธ ในเมื่อมีผู้อุปการะให้มีความสุข ถ้าเป็นคนอื่นก็คงรีบรับด้วยความยินดี เหตุนี้ทำให้ผมมีจิตใจไม่สบายขึ้นมาทันที นึกว่าเด็กคนนี้จะเสียสติ หรือจะมีเหตุผลอย่างไร แกจึงกล้าปฏิเสธผมพยายามข่มใจให้เป็นปกติแล้วว่า “ทำไมเธอจึงปฏิเสธความรักและความหวังดีของฉันที่มีต่อเธอ และตั้งใจจะเลี้ยงดูเธอให้เหมือนบุตรของฉัน เพราะฉันไม่เคยมีบุตร เธอทำให้ฉันเสียใจและผิดหวัง”

เด็กข้างถนน : โดย ท.เลียงพิบูลย์ 5

เมื่อผมลาท่านสมภารออกจากวัด ก็มาได้ทำงานที่ร้านขายอาหารแห่งหนึ่ง กินอยู่หลับนอนเสร็จ ผมมีหน้าที่ทำความสะอาดและล้างถ้วยชาม ได้กินอิ่มนอนหลับสมกับสภาพของลูกจ้างทั่วๆ ไป ผมเข้าไปทำงานได้ ๔ - ๕ เดือน เจ้าของร้านก็รู้สึกเอ็นดูสงสารผมมากกว่าคนอยู่ก่อน แต่ชะตาของผมมักจะพบคนพาล แม้ว่าผมจะทำงานต่ำๆ ก็ยังมีคนคอยอิจฉาริษยา พวกคนทำงานด้วยกันคอยแกล้งพูดเสียดสีหาเรื่องรังแก หาว่าผมทำงานขยันเพื่อประจบเจ้าของร้าน ทำงานเอาหน้า ทำข้ามหน้าข้ามตาพวกเขา เพราะผมทำงานเรียบร้อย เสร็จเร็วกว่าเขาในงานอย่างเดียวกัน ฉะนั้น เขาจึงพากันโกรธแค้นคอยกีดกัน หาเรื่องผมตลอดมา แต่ผมก็อดคิดไม่ได้ว่า เหตุเหล่านี้มันคงไม่เป็นต้นเหตุให้พวกเขาโกรธมาก ถึงกับพาลหาเรื่อง คิดว่าสิ่งที่ทำให้เขาโกรธมาก็เพราะผมได้รู้เห็นว่า พวกนี้ชอบยักยอกเงินขายอาหารเอาไปแบ่งกัน แต่เมื่อรู้เห็นเขาก็มาทำใจดี ชวนผมร่วมมือเป็นพวกด้วย โดยสัญญาจะแบ่งเงินให้ผมด้วยส่วนหนึ่ง แต่ผมนึกถึงยาย นึกถึงคาถาของท่านสมภาร ผมจึงไม่ยอมร่วมมือทำการทุจริตด้วย พวกเขาจึงโกรธมาก ขู่ให้ผมออกจากงาน มิฉะนั้นจะเจ็บตัว ผมเองก็ไม่สนใจในคำขู่ไม่ยอมปฏิบัติตาม และผมก็ทำงานมาเป็นปกติ เหตุเกิดขึ้นในวันหนึ่ง เวลาเช้าผมเดินเข้าไปในซอย เพื่อเก็บจานชามที่มีผู้สั่งมาเลี้ยงกันที่บ้านในวันสิ้นเดือน ตามธรรมดาเวลาเช้าเรามีเวลาว่าง เพราะเปิดขายอาหารตั้งแต่กลางวันถึงกลางคืน เมื่อผมเดินเข้าไปในซอยยังไม่ทันถึงบ้านที่จะไปเก็บชาม ก็เดินสวนทางกับชายผู้ร่วมงานกับผมซึ่งเป็นหัวหน้า ขู่และแสดงกิริยาไม่เป็นมิตรกับผมตลอดมา ผมก็ไม่สนใจ แต่พอผมเดินคล้อยหลังก็ได้ยินเสียงร้องโอย เหมือนได้รับความเจ็บปวดอยู่ข้างตัว ผมตกใจหันไปดู เห็นชายคนหนึ่งผิวดำ รูปร่างกำยำล่ำสัน จับข้อมือชายร่วมงานผู้เป็นอริกับผม บิดท่ายูโดจนหลังแอ่น ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดและกลัว แต่ในมือยังคงกำมีดโต๊ะไว้แน่น ไม่ยอมปล่อย จนชายผู้นั้นบิดข้อมือสะบัดหนักขึ้นจนหน้าเบี้ยวบูด เห็นจะทนไม่ไหว มือที่กำมีดไว้ก็คลายออก ปล่อยมีดหลุดตกลงยังพื้น ชายผู้นั้นยังคงบิดมือไขว้หลังแน่นอยู่ไม่ยอมให้ดิ้นหลุดไป ชายร่วมงานกับผมตกใจจนหน้าซีดเหงื่อออก อ้อนวอนขอร้องให้ผมบอกให้ชายผู้นั้นปล่อย เคราะห์ดีในซอยนั้นไม่มีผู้คนผ่านไปมามากนักเพราะเป็นเวลาเช้า จึงไม่ใคร่มีใครรู้เห็นเหตุการณ์พอที่จะมายืนมุงดู ผมหันไปมองหน้าชายผู้มีพระคุณผู้นั้นเพื่อขอความเห็น ชายผู้นั้นมองหน้าผมแล้วพูดว่า “อ้ายหนู เอ็งยังเคราะห์ดีที่ข้าเห็นมันชักมีดออกมาก่อนที่จะทำอะไรลงไป ข้าจึงโดดเข้ามาคว้าข้อมือมันไว้ทัน ไม่เช่นนั้นมีดคงปักกลางหลังเอ็งแน่” แต่แล้วเจ้าคนร่วมงานกับผมก็ร้องบอกขึ้นว่า “ไม่จริง ผมเพียงแต่ชักมีดออกมาขู่ ผมไม่ตั้งใจจะแทงหรอกครับ กรุณาปล่อยผมเถิด ผมจะไม่ทำอย่างนั้นอีก นึกว่าสงสารยกโทษให้ผมเถิด” พูดแล้วร้องไห้เหมือนจะสำนึกตัว แล้วชายผู้นั้นก็หันมาพูดว่า “ยังไง อ้ายหนูเอ็งรู้จักกับมันดีอยู่หรือ” ผมจึงเล่าเรื่องชายผู้ร่วมงานนั้น ให้ชายแปลกหน้าฟังโดยตลอด เมื่อทราบแล้วชายผู้นั้นถามผมว่า “นี่จะจัดการอย่างไรดี อ้ายนักเลงกุ๊ยๆ อย่างนี้” ผมบอกว่า “ผมอยากจะให้เขาสัญญาว่าจะไม่ทำชั่วอีก แล้วปล่อยเขาไป” ชายผู้นั้นพูดว่า “เอา ! ตามใจเอ็ง ข้าไม่ชอบคนทำร้ายข้างหลัง” ผมจึงพูดกับผู้ร่วมงานของผมว่า “เราจะต้องให้สัญญาว่าจะไม่ประพฤติชั่วต่อไป และการยักยอกเงินของร้านขายอาหารก็ขอห้ามเด็ดขาดอย่าทำอีก ถ้าไม่เชื่อฉันจะบอกให้เขารู้เรื่องที่แกดักแทงฉัน เพราะฉันรู้ความลับที่แกยักยอกเงิน แกจะรับปากให้ฉันได้ไหม” ชายร่วมงานรีบรับปากทันที “ได้ ต่อไปผมจะไม่คิดร้ายต่อคุณ และไม่ทุจริตยักยอก แต่ขออย่าได้บอกเรื่องนี้ให้ใครรู้” เสียงชายผู้นั้นตะคอกว่า “เฮ้ย แล้วมันจะมีอะไรประกันล่ะวะ พูดง่ายๆ พอจะเอาตัวรอดเท่านั้น แล้วมันก็ไม่ทำตามใครจะรู้” เสียงชายร่วมงานตอบปากคอสั่นว่า “ผมสาบานให้ได้ ถ้าผมผิดคำพูดที่ให้ไว้ ขอให้ผมตายภายในสามวันเจ็ดวันเถิดครับ” ผมจึงบอกชายแปลกหน้าคนนั้นว่า “ปล่อยเขาไปเถิดครับ เขาคงเข็ด และได้สาบานแล้ว” ชายผู้นั้นมองหน้าผมแล้วพูดว่า “อ้ายหนูนี่ใจดีนัก มันจะเอาชีวิตเอ็ง แล้วยังไม่เอาเรื่อง แต่เอ็งอยากปล่อยมันข้าก็ไม่ว่า ข้าเอ็งก็ไม่ชอบยุ่งกับตำรวจเหมือนกัน แต่ข้าจะขอสั่งสอนให้มันรู้เสียบ้าง” แล้วก็ปล่อยมือที่ไขว้หลัง แล้วใช้มือขวาตบหน้าข้างซ้ายของชายร่วมงานจนเซไป แล้วตวาดซ้ำว่า “ไปให้พ้นหน้าข้าเร็วๆ ประเดี๋ยวข้าเกิดกลับใจ เอ็งจะเจ็บตัวมากกว่านี้” ชายผู้ร่วมงานของผมยกมือขึ้นไหว้แล้วไหว้อีก ด้วยความกลัว พอจะก้มหยิบมีด ชายผู้นั้นก็ใช้เท้าเหยียบเอาไว้ ทั้งตวาดซ้ำอีกว่า “ไปไม่ต้องหยิบ ถ้าช้า ประเดี๋ยวมีดเล่มนี้จะเล่นงานมึง” ชายผู้ร่วมงานของผมตกใจยกมือไหว้อีก แล้วรีบตาลีตาลานเดินออกไป ไม่ยอมหันกลับมามองอีกเลย ชายแปลกหน้าหัวเราะก้มลงหยิบมีดโต๊ะขึ้นมาหักด้วยข้อมืออันแข็งแรงออกเป็นสองท่อน แล้วก็โยนทิ้งไปในถังขยะ ซึ่งตั้งอยู่บริเวณนั้น แล้วหันมาพูดกับผมว่า “อ้ายหนู เอ็งอย่ากลับไปทำงานที่ร้านอาหารอีกเลย ข้าชักชอบเอ็งแล้วละ ไปอยู่กับข้า ข้ามีงานให้ทำดีกว่านี้” ผมมองดูชายแปลกหน้าผู้นั้นด้วยความรู้คุณ ที่ได้ช่วยเหลือผมจากการลอบทำร้าย จึงพูดขึ้นว่า “คุณจะให้ผมทำงานอะไรครับ ผมไม่มีความรู้อะไรมากนัก กลัวจะเสียงานของคุณ” ชายแปลกหน้าหัวเราะพลางพูดว่า “เฮ้ย เอ็งอย่าเรียกข้าว่าคุณเคินอะไรเลยวะ เรียกข้าว่าพี่ก็แล้วกัน งานของข้ามันไม่ยากเย็นอะไร ข้าคิดว่าเอ็งคงทำได้ หน่วยก้านเอ็งมันดี ฉลาดแต่ซื่อๆ ข้าชอบ” ผมเลยบอกไปว่า “ตกลงครับ พี่ ผมจะทำงานให้พี่ทุกอย่างที่พี่เห็นว่าผมทำได้”

เด็กข้างถนน : โดย ท.เลียงพิบูลย์ 4

“คุณคิดอุปการะอบรมเด็กข้างถนนอย่างนี้ เป็นบุญกุศลที่ได้ช่วยสังคม หมดความประพฤติชั่วไปได้อีกคนหนึ่ง ทำให้ตำรวจหนักแรงน้อยลง” ผมจึงบอกว่า “เด็กคนนี้เป็นเด็กดีอยู่แล้ว เพราะได้รับการอบรมจากผู้เป็นยาย แกรู้ดีรู้ชั่ว รู้จักบุญคุณ” เพื่อนนายตำรวจผู้นั้นหัวเราะแล้วพูดว่า “ผมเชื่อ เท่าที่แกทำไปนั้น ก็แสดงว่าแกเป็นเด็กดี เด็กที่อยู่ในสภาพเช่นนี้หาเด็กดีไม่ได้ง่ายๆ แต่สิ่งแวดล้อมนี่ซิครับ ความคับแค้น ความทุกข์ยากลำบาก ความจำเป็นบีบบังคับอาจเปลี่ยนแปลงจิตใจของแกให้เป็นโจรไปได้ คราวนี้แหละจะเพิ่มความยุ่งยากลำบากให้แก่สังคมและการปราบปราม จึงเป็นหน้าที่ของผมช่วยคุณหาเด็กเป็นการป้องกันอาชญากรไปด้วย ได้ทั้งงานราชการและส่วนตัว ผมจึงมีความยินดีและเต็มใจจะสืบหานำเด็กคนนี้มาให้คุณจนได้” ต่อมาไม่นานนัก ด้วยความสามารถของเพื่อนผมก็นำเด็กคนนั้นมาตามสัญญา เขาเล่าว่าไปพบแกอยู่ในวัดกับท่านสมภาร ผมไม่ทราบจะพูดอะไรดี จึงจะสมกับความดีในครั้งนี้เหมือนได้ลาภอันประเสริฐที่ได้เด็กคนนี้มาอยู่กับผม แต่แล้วผมก็ไม่สบายใจ เพราะสังเกตดูแกเศร้าเหงาๆ อยู่ตลอดเวลา คล้ายกับคนมีทุกข์หนักอยู่ในใจ แทนที่จะดีใจ ผมได้พยายามปลอบโยนให้หายทุกข์ และถามว่าเหตุใด แกจึงไปได้ข่าวจากสลัดดำ แล้วก็เสี่ยงภัยมาบอกให้ผมทราบ แกบอกกับผมว่า แกรู้จักสลัดดำหลังจากยายถึงแก่กรรมด้วยโรคชรา และเริ่มเล่าเรื่องของแก โดยทำตาแดงๆ จะร้องไห้ แกเล่าว่า “ก่อนจะตาย ยายเรียกผมไปนั่งข้างๆ ที่ยายนอนเจ็บ แล้วยายก็เอามือคลำทั่วหน้าผม เพราะเวลานั้นตาของยายมองอะไรไม่เห็น แล้วยายก็ร้องไห้ ผมเอามือของยายขึ้นไว้บนหัวด้วยความรักนับถือ เพราะผมไม่รู้ว่าจะทำอะไรดีกว่านี้ แล้วผมก็ร้องไห้สงสารที่ยายเป็นห่วงผม” ยายพูดว่า “อ้ายหนู ยายรู้ดีว่ายายจะอยู่กับเอ็งได้อีกโดยไม่กี่วันแล้ว รักษาตัวไว้ให้ดีนะหลานนะ เอ็งอุตส่าห์อาบเหงื่อต่างน้ำเพื่อหาเงินมาเลี้ยงยายสุจริต ขายทั้งหวานเย็น ล็อตเตอรี่ หนังสือพิมพ์ และลูกโป่ง เอ็งทำทุกอย่างเพื่อหาเลี้ยงยายด้วยความกตัญญู แต่ยายไม่มีทรัพย์สมบัติจะให้เอ็ง ยายมีแต่ศีลธรรมที่ใช้อบรมสั่งสอนเอ็งมาตลอดเวลา เพื่อจะได้ติดตัวปฏิบัติเป็นความดีต่อไป คนเราอาจจะจนทรัพย์สินเงินทอง แต่อย่าให้จนศีลธรรมและความดี มีความกตัญญูรู้คุณ อย่าเนรคุณคน จะมีความเจริญแก่ตัวต่อไป มีศีลธรรมความดีทำให้จิตใจเราสูงขึ้น และมีความสบายใจ ผิดกับความชั่ว มันทำให้จิตใจต่ำเลวและเสื่อมลง ที่สุดก็ต้องอยู่ในความทุกข์ จงจำคำของยายไว้” ก่อนที่ยายจะจากไปก่อนนี้ยายเป็นห่วงเอ็งมาก นอนตาไม่หลับ คิดว่าถ้ายายตายแล้วเอ็งจะลำบาก จึงฝากท่านสมภารให้ช่วยดูแลสั่งสอนเอ็งต่อไป เอ็งก็โตขึ้นทุกวัน เกรงจะเสียคนเพราะไม่มีคนคอยสั่งสอนตักเตือน เมื่อวันก่อนท่านสมภารมาเยี่ยมยาย ท่านก็รับปากว่าจะช่วยดูแลเอ็งต่อจากยายแล้ว ท่านได้ขอเอาดวงวัน เดือน ปีเกิดของเอ็งไปดู แล้วท่านก็กลับมาบอกยายว่า “ไม่ต้องเป็นห่วงอ้ายหนูหรอกโยม อาตมาตรวจดูดวงชะตามันแล้ว ดวงของมันว่าจะมีคนอุ้มชู ชุบเลี้ยงอุปถัมภ์มันให้มีความสุขแน่ อ้ายนี่ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ ชะตามันดี ทีแรกก็ลำบากบ้าง แต่ต่อไปก็สบาย ตำราของอาตมาไม่เคยผิด” ยายรู้ว่าท่านสมภารทายแม่นมากไม่เคยพลาด นี่แหละอ้ายหนู ยายจึงบอกว่ายายหมดห่วงแล้ว ถึงจะตายก็ตาหลับ” และอีกสองวันต่อมายายก็ตายลงด้วยความสงบ และมีสติดี ทางวัดได้ช่วยกันจัดงานศพจนเรียบร้อย ผมมีความอาลัยว้าเหว่มากเพราะเรามีกันสองยายหลานหอบหิ้วไปไหนมาไหนด้วยกัน ตั้งแต่ผมเล็กๆ พอจำความได้ก็เห็นหน้ายายคนเดียวที่เป็นญาติ เราไม่เคยคลาดกันเลย บัดนี้ผมเหลือตัวคนเดียว ยายเคยบอกว่าเราไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนอีกแล้ว ไม่มีใครอีกแล้วที่ผมจะรักเท่ายาย ผมมีความอาลัยและเสียใจ คิดถึงยายมากจนทนอยู่ในวัดไม่ไหว ผมจึงไปหาท่านสมภาร บอกท่านว่าจะลาไปทำงาน เพราะผมติดต่องานเอาไว้แล้ว สมภารท่านเป็นคนใจดี ท่านจึงแนะนำว่า “ไปทำงานให้คลายความเสียใจ คิดถึงยายสักพักหนึ่งก็ดีเหมือนกัน จะได้ไปพบกับคนที่อุปถัมภ์ค้ำชูเอ็งแต่ชาติก่อน จะได้สบายเสียที แต่เอ็งก็ไม่เคยทำงานที่ไหนมาก่อน อายุของเอ็งก็ยังน้อย หลวงพ่อสงสารเป็นห่วงเอ็งมาก คนเราเกิดมาก็ต้องต่อสู้ยังชีวิตเป็นธรรมดาของโลก แต่เอ็งยังเด็กและยังใหม่ต่อโลก ถ้าครั้งแรกไปพบคนชั่วเป็นตัวอย่าง ประพฤติตามจะติดนิสัยชั่วต่อไป ถ้าไปพบคนดีมีศีลมีธรรม ก็จะได้ตัวอย่างที่ดีติดเป็นนิสัยเช่นกัน หลวงพ่อจะให้คติเหมือนคาถาสักบทหนึ่ง จะได้ท่องให้ขึ้นใจเมื่อยามคับขัน จะได้เป็นเครื่องเตือนใจให้นึกถึงคำของหลวงพ่อที่ให้ไว้ว่า “พบคนชั่วให้หลีกหนี พบคนดีให้เข้าหา” จงจำไว้ให้ดี จะเป็นทางนำเอ็งไปสู่ทางที่ดีที่ชอบ ยายของเอ็งเป็นคนดีมากอยู่ในศีลธรรมตลอดมา เป็นผู้ดีตกยาก เป็นที่เคารพรักใคร่นับถือของคนในวัดทั่วไป เอ็งก็เป็นเชื้อสายของยาย และได้รับการอบรมมาด้วยความดี หลวงพ่อขอเตือนเอ็งว่า “เมื่อทำงานแล้วให้มีความขยันขันแข็ง มีความซื่อสัตย์มั่นคง อย่ารังเกียจงานที่เขามอบให้ ต้องตั้งใจทำให้ดีเรียบร้อยและรวดเร็ว อย่าถ่วงงาน อย่างถ่วงเวลา และอย่าไถล จะเป็นการเพาะนิสัยชั่วมาสู่ตัวเราเอง ความขยันขันแข็ง ซื่อสัตย์สุจริต ถ้าติดเป็นนิสัยประจำตัวของเราจะเป็นทางนำความรุ่งเรืองมาสู่ชีวิต เพราะคนดีมีความขยันขันแข็งมีจิตใจซื่อสัตย์สุจริต จะไปอยู่กับใครก็มีคนยินดีต้อนรับทุกแห่งผิดกับคนเกียจคร้านต่อการงาน มีใจไม่สุจริต ชอบไถล โกงเวลางาน พวกนี้เป็นผู้ทำลายตัวเอง ทำลายความรุ่งเรืองของชีวิตอนาคตเป็นที่รังเกียจชองผู้รู้ทั่วไป เขาไม่รู้ทันทีแต่ต่อไปเขาก็รู้ เราเกิดมาเป็นคนต้องมีมานะ อดทน เสียสละ ไม่เห็นแก่ตัว มีศีลมีสัตย์ อย่าเอาชนะคนพาลด้วยพาลตอบ เราใช้ศีลธรรมความดีเข้าต่อสู้ เราต้องชนะใจของเราเองสำคัญกว่าสิ่งอื่น” “คำเหล่านี้หลวงพ่อให้เป็นสมบัติของเจ้า จำเอาไว้เพื่อตักเตือนตัวเองให้ไปสู่ทางดีป้องกันทางชั่ว เอ็งจำไว้ปฏิบัติต่อไปและขอให้คุณพระศรีรัตนตรัยจงป้องกันคุ้มครองเอ็ง ให้พ้นจากภัยทั้งปวง นำเอ็งไปสู่ทางที่ดีที่ชอบและความเจริญต่อไปเถิด” ผมก้มลงกราบรับโอวาทของท่านสมภารแล้วพูดว่า “กระผมจะจดจำคำของหลวงพ่อ เหมือนเครื่องรางของขลังอันศักดิ์สิทธิ์ ที่จะป้องกันตัวผมให้พ้นจากความชั่ว” ท่านสมภารหัวเราะชอบใจแล้วว่า “เจ้าหนู เจ้านี่ฉลาดเกินตัว หาเด็กอายุเท่านี้จะพูดได้อย่างนี้ เห็นจะเป็นเพราะยายของเอ็งฝึกฝนอบรมมาก่อน จึงเข้าใจอะไรได้อย่างรวดเร็ว ถ้าเอ็งไปอยู่ที่ไหนไม่สบายก็กลับมาอยู่วัด ถ้าจะเอาดีทางศาสนาอยากบวชเณร หลวงพ่อจะบวชให้ ถ้าได้เล่าเรียนฝึกฝนศึกษาดีคงได้มหาเปรียญแน่ๆ นี่มันแล้วแต่บุญกุศล แต่ดวงของเอ็งไม่บอกว่าจะเอาดีทางศาสนา”

เด็กข้างถนน : โดย ท.เลียงพิบูลย์ 3

วันหนึ่งผมจำได้ว่าเป็นวันเสาร์ก่อนสิ้นเดือนสองวัน ผมต้องไปเบิกเงินที่ธนาคารตอนเช้า เพราะตอนบ่ายธนาคารปิดและจำเป็นต้องนำเงินไปจ่ายทางไร่ นอกจากจะจ่ายตามปกติประจำเดือนแล้ว ผมยังเบิกเงินไปวางมัดจำซื้อที่เจ้าของไร่ที่อยู่ข้างเคียงกับไร่ของผม เพื่อขยายกิจการให้ใหญ่โตยิ่งขึ้น เงินสดจำนวนมากนี้ผมได้นำมาเก็บไว้ที่บ้าน เพื่อการสะดวกก่อนจะนำไปไร่ในตอนเช้าวันจันทร์ ซึ่งเป็นวันสิ้นเดือนพอดี ค่ำวันเสาร์นั้นเอง เมื่อผมกลับจากธุระกำลังเดินเข้าซอยกลับบ้าน ผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินตามมาข้างหลัง เมื่อเข้าไปถึงกลางซอยก่อนจะถึงบ้านผม ขณะนั้นไม่ค่อยมีคนพลุกพล่าน อากาศย่ำค่ำทำให้มองหน้าตากันไม่ถนัดนัก เพราะซอยนั้นเทศบาลยังไม่ได้ตามไฟ ผมได้ยินเสียงเรียกค่อยๆ พอได้ยินมาจากทางหลังว่า “ท่านครับหยุดก่อน” ผมชะงักหยุดเดิน เมื่อเหลียวไปเห็นเด็กอายุประมาณ ๑๒–๑๓ ปี เดินตามมา พอมาทันก็ยกมือขึ้นไหว้ ผมจึงถามว่า “เธอมีธุระอะไรกับฉันหรือ” เด็กคนนั้นแสดงกิริยาอ่อนน้อมแล้วพูดค่อยๆ ราวกับกลัวคนได้ยิน และกลัวคนเห็น แกเหลียวดูซ้ายขวาตลอดเวลา และพูดว่า “มีธุระสำคัญมากครับท่าน จำผมได้ไหมครับ ผมเด็กชายหวานเย็นที่ท่านให้เงินแปดสิบบาท” ผมพิจารณาดูอีกทีก็จำได้ จึงพูดขึ้นอย่างดีใจว่า “อ้อ ! หนูฉันจำเธอได้แล้ว ดีใจมาก เธอมีธุระอะไรให้ฉันช่วยหรือเปล่า” เสียงเด็กตอบอย่างระมัดระวังว่า “ไม่มีอะไรต้องรบกวนให้ท่านช่วยเหลือหรอกครับ ผมมาเตือนท่านเพราะท่านมีบุญคุณต่อผม” ผมชักสงสัยจึงถามว่า “เธอมาเตือนฉันเรื่องอะไร ไหนบอกให้รู้ซิ” เด็กชักปากสั่นกว่าจะพูดออกมาได้ เสียงที่พูดได้ยินคล้ายเสียงกระซิบว่า “คืนพรุ่งนี้วันอาทิตย์ เวลาตีสี่จะเกิดโจรกรรมขึ้นในบ้านท่าน” ผมได้ยินเสียงนั้นสะดุ้งย้อนถามว่า “เธอรู้ได้อย่างไรเรื่องสำคัญเช่นนี้” เด็กตอบว่า “ผมรู้จากคนที่จะมาขโมยบ้านท่าน” ผมร้อนใจจึงถามว่า “ใคร” เด็กกระซิบตอบว่า “สลัดดำ” ผมต้องสะดุ้งเพราะเคยได้ยินชื่อ โจรคนนี้วางแผนการณ์แนบเนียนมาก จึงย้อนถามว่า “มันรู้ได้อย่างไรว่าบ้านฉันมีเงิน” เด็กกระซิบบอกว่า “คนใช้ คนครัวในบ้านของท่านเป็นสาย และท่านระวังอาหารเย็นจะถูกวางยานอนหลับ แต่อยากจะขอให้ท่านสัญญากับผมสักอย่าง” ผมสงสัยจึงถามว่า “เธอต้องการให้สัญญาอะไร เธอต้องการเงินหรือ” เสียงเด็กรุ่นหน้าเศร้าลงว่า “เปล่าครับ ผมไม่ต้องการเงิน แต่อยากขอร้องท่านกรุณาอย่าทำอันตรายแก่สลัดดำ เพราะผมเป็นหนี้บุญคุณเขา ตกลงนะครับท่าน” ผมนึกติเตียนตัวเอง ที่ตีราคาเด็กคนนี้ต่ำเกินไป จึงรีบรับปากว่า “ตกลง ฉันจะพยายามเพื่อเห็นแก่เธอ” เด็กหนุ่มดีใจ ตอบว่า “ขอบคุณท่านมาก ผมต้องรีบไปละครับ ถ้าเขารู้เข้าผมต้องตายแน่” พูดแล้วก็รีบเดินทางไปทันที ผมจึงบอกว่า “เธอต้องกลับมาหาฉันอีกนะ” แต่เด็กเดินออกไปไกลเกินว่า ที่จะได้ยินคำพูดของผมเสียแล้ว สังเกตดูแกกลัวภัย คอยระวังตัวอยู่เสมอ คืนนั้นผมยิ่งนึกก็ยิ่งเห็นจริงว่า ผมเบิกเงินจากธนาคารมาไม่มีใครรู้ นอกจากคนในบ้านเท่านั้น ในบ้านก็มีคุณป้าของผมเป็นผู้ดูแลจัดการในบ้าน นอกนั้นก็มีพวกบ้านไร่ร่างกายแข็งแรง ซึ่งจะเดินทางมาแจ้งถึงการตกลงซื้อขายไร่ข้างเคียง และจะเดินทางกลับไปพร้อมกับผมในวันจันทร์ พวกนี้มีความซื่อตรงและรักใคร่ผมดี แต่คนรับใช้และแม่ครัว ผู้หญิงสองคนนี้เพิ่งจะมาอยู่ใหม่ยังไม่ถึงสามเดือน และบัดนี้ก็รู้แน่ชัดแล้วเพราะสองคนนี้เองผลัดกันออกนอกบ้านคราวละนานๆ คงนำข่าวการเบิกเงินซื้อไร่ของผมไปบอกพวกโจรอย่างไม่ต้องสงสัย นึกแล้วรู้สึกใจเต้น เพราะผมยังไม่เคยรับเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อนเลย แต่ก็เป็นบุญกุศลที่รู้ล่วงหน้าเสียก่อน นี่ก็เห็นจะเป็นความดีของผมที่ได้ให้เงินแก่เด็กขายหวานเย็นเมื่อครั้งนั้น ได้เกิดผลสนองขึ้น ยิ่งคิดผมก็ยิ่งเป็นห่วงเด็กคนนั้นมากขึ้น การที่แกฝ่าอันตรายมาบอกผม ถ้าหากพวกโจรรู้เข้า แกก็คงได้รับอันตรายถึงคอขาดบาดตายแน่ คิดแล้วก็ไม่สบายใจ ต่อมาเมื่อถึงเวลากำหนดพวกโจรก็มาตามนัด แต่ได้ถูกพวกรักษากฎหมายซ้อนกลจึงจับได้หมดทุถกคน โดยมิได้มีการต่อสู้เกิดขึ้นเพราะเจ้าหน้าที่รู้ตัวอยู่ก่อนแล้ว ไม่ช้าพวกเหล่าร้ายก็ได้รับโทษตามความผิดที่ตนได้ทำไว้ มากน้อยทั่วทุกคน แต่การรับสารภาพย่อมได้รับความปรานีเป็นธรรมดา หลังจากนั้นผมก็เฝ้าคอยเด็กคนนั้น เข้าใจว่าแกคงจะมาหาแต่ก็ไม่ได้พบอีกเลย คราวนี้ผมมีความร้อนใจ เกิดมีความเอ็นดูสงสารแกขึ้นมา เห็นจะเป็นเพราะแกสร้างความดีโดยป้องกันทรัพย์สินให้พ้นจากโจรภัย เป็นความดีเด่นประจักษ์ในความกตัญญูของแก สิ่งนี้ได้เกิดชักจูงใจผมให้เกิดความรักใคร่และสงสารอันแท้จริงซึ่งผมจะลืมไม่ได้ อีกอย่างหนึ่ง การที่แกช่วยป้องกันทรัพย์สินให้ผมในคราวนี้ เห็นได้ชัดว่าแกมิได้หวังสินจ้างรางวัลสิ่งใดตอบแทน หากว่าเป็นเพราะแรงกตัญญู ถ้าแกหวังสินจ้างแล้วแกคงรีบมาหาผมอีกทันที ผมได้พยายามให้คนไปสืบหาอยากจะพบแก อยากนำมาเลี้ยงดูต่อไป เพื่อตอบแทนความดี แต่ก็หาไม่พบ ผมออกจะเป็นห่วงในอนาคตของเด็กคนนี้มาก และเริ่มเห็นความดีของแกเพิ่มขึ้น ทั้งๆ ที่แกรู้ดีว่า หากแกมาหาผมแกก็จะได้รับรางวัลในความดีขอความชอบครั้งนี้อย่างแน่นอน แม้แต่ครั้งก่อนซึ่งแกยังไม่เคยทำความดีอะไร ผมก็ยังมอบเงินให้แปดสิบบาท แกย่อมเข้าใจดี นี่แหละเป็นจุดที่ทำให้ผมเพิ่มความรักและสงสารแกมากขึ้น ต่อมาผมคิดว่า ถ้าเราได้อาศัยเจ้าของท้องที่ช่วยสืบหาคงได้ผล ผมจึงของร้องให้เพื่อนผู้เป็นนายตำรวจช่วยจัดการสืบหาให้ เพื่อนผู้นั้นกล่าวเป็นคติว่า

เด็กข้างถนน : โดย ท.เลียงพิบูลย์ 2

หลังจากได้รับเงินรางวัลตามสลากที่ถูกต้องแล้ว ผมก็เที่ยวตามหาเด็กขายสลากกินแบ่งคนนั้น ซึ่งผมได้สัญญาไว้ว่า จะให้รางวัล แต่ผมยังสงสัยว่า จะจำเค้าหน้าเด็กนั้นได้แม่นยำหรือไม่ คิดว่าหากได้เห็นหน้าอีกครั้งหนึ่งคงจำได้ เดินหาแถวบางลำภูและสะพานผ่านฟ้าหลายเที่ยวก็ไม่พบเด็กคนนั้น ต่อมาอีกสองวันผมได้ไปหาอีกก็คงไม่พบเด็กอีกตามเคย วันหลังนี้ผมได้ตั้งใจไว้ว่าจะไปเที่ยวค้นหาทางเขาดินบ้าง หลังจากเมื่อหาทางบางลำภูและผ่านฟ้าไม่พบแล้ว ผมจึงเดินไปทางลานพระบรมรูปทรงม้าหน้า พระที่นั่งอนันตสมาคม พอถึงสี่แยกมุมขวาที่จะเข้าสวนสัตว์เขาดินวนา ก็ได้พบเด็กชายอายุประมาณคงไม่เกิน ๑๐ ขวบยืนร้องไห้ ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมา ห่างออกไปมีเด็กชายอายุประมาณ ๑๒–๑๓ ขวบ ใช้เท้าเขี่ยกระติกที่กลิ้งอยู่ตรงหน้าไปมา เสียงที่พูดอะไรกันผมอยู่ห่างไม่ทันได้ยิน เมื่อเข้าไปใกล้จึงได้ยินแต่เสียงของเด็กที่เล็กกว่าร้องไห้พลางพูดว่า “ถือว่าโตกว่าชอบรังแกเด็ก แล้วยังไม่พอ ยังเตะกระติกหวานเย็นเขาแตก” แล้วส่งเสียงร้องไห้ ห่างออกไปมีกรรมกรสองสามคนทำความสะอาดสถานที่แถวนั้น หยุดมองดูเพราะเสียงร้องไห้ของเด็ก ผมจึงเดินไปดูแล้วถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น หนูถึงได้ร้องไห้เสียอกเสียใจอย่างนี้” เด็กร้องไห้พลางบอกว่า “เขารังแกผมครับ เขาถือว่าตัวโตกว่า” สิ่งที่ทำให้เกิดเอ็นดูเด็กคนนั้น ก็เพราะแม้แกจะโกรธแค้นถึงกับร้องไห้ แกก็ไม่กล่าวคำหยาบออกมาจากปาก ซึ่งผิดกับเด็กบางคน ถ้าโกรธถึงกับร้องไห้ก็มักจะใช้วาจาหยาบด่าออกมาเพื่อให้แค้น ผมจึงถามว่า “ใครทำกระติกแตกล่ะหนู” เด็กคนเล็กชี้มือไปทางเด็กที่โตกว่า ซึ่งกำลังจะเดินออกจากที่นั้นไป ด้วยท่าทางหยิ่งยโสตามนิสัยคนพาล “เขาถือว่าตัวโตกว่า รังแกผมยังไม่พอ ยังเตะกระติกน้ำแข็งใส่หวานเย็นของผมแตก แล้วยังเอาตีนเขี่ยเล่น ผมจึงแค้นใจ เสียใจ เพราะผมไม่รู้ว่าจะไปพูดกับเจ้าของกระติกหวานเย็นเขาว่าอย่างไรดี เขาเคยชมว่าผมเป็นคนดี ไม่เกเรเหมือนเด็กอื่น ผมอายเขา ไม่รู้จะมองหน้าเขาอย่างไร จะซื้อกระติกใช้เขาก็ไม่มีเงิน ผมรับหวานเย็นเขามายังขายไม่ได้ถึงบาท กระติกก็แตก หวานเย็นก็เสียหมด นี่ผมก็คงต้องถูกดุด่าที่ทำให้เขาขาดทุน และเขาคงไม่ว่าผมเป็นคนดีอีกแล้ว คงไม่ให้ผมรับมาขายต่อไป เขาคงไม่รู้หรอกครับว่าผมไม่ได้ทำ ผมบอกเขาคงไม่เชื่อ” ผมได้ยินเด็กพูดแล้วก็ให้นึกสงสาร เพราะแกพูดอย่างซื่อๆ มองดูหน้าก็รู้สึกว่าจะเคยเห็นมาก่อน ผมจึงถามแกว่า “หนูไปทำอะไรให้เขาโกรธล่ะ เขาจึงได้รังแกถึงกับเตะกระติกหวานเย็นของหนูแตก” เด็กใช้หลังมือปาดน้ำตาจนแห้งแล้วจึงพูดว่า “ผมไม่ได้ทำไมเขาหรอก ผมก็ไม่เคยรู้จักเขามาก่อน ทีแรกเขาเข้ามาชวนผมเล่นทายหัวทายก้อนเอาตังกัน ผมบอกว่า ผมไม่มีตัง เขาบอกว่าตังขายหวานเย็นไงล่ะ ผมก็บอกว่าตังขายหวานเย็นไม่ใช่ของผม เป็นเจ้าของหวานเย็นเขา ถ้าขายหมดก็เอาไปส่งเขา แล้วเขาก็คิดเปอร์เซ็นต์ให้ทีหลัง เขาว่าผมไอ้โง่ หักค่าเปอร์เซ็นต์ไว้ก่อนซีวะ ถ้าเอ็งไม่อยากเล่นปั่นแปะหัวก้อน ก็มาเล่นทายเลขท้ายรถยนต์ก็ได้ เอาไหมล่ะ ผมบอกว่าผมเล่นไม่เป็นและไม่อยากเล่น เพราะยายผมสอนไว้ว่า อย่าเล่นการพนันเพราะการพนันทุกอย่างมันไม่ดี มันเป็นของชั่วร้าย ถ้าใครเห็นเขาเล่นกันที่ไหนก็อย่าไปดูเขา หลีกไปให้ไกล มันมีแต่โทษไม่มีคุณ ถ้าตำรวจมาจับก็จะพลอยถูกจับไปด้วย เขาเห็นว่าผมไม่ยอมเล่นด้วยก็โกรธ พูดว่าอ้ายนี่ยายสอนนัก กูจะเตะมึง ดูซิว่ายายมึงจะสอนว่ายังไงอีก ว่าแล้วเขาก็เตะผม ผมกำลังถือกระติกน้ำแข็งใส่หวานเย็นอยู่ ผมก็ยกขึ้นรับปิดป้องกัน แต่แล้วกระติกในมือผมก็กระเด็นหลุดจากมือ เพราะถูกเท้าเขาเตะระเบิดแตกกระจาย และเขาก็ใช้เท้าเตะเขี่ยเล่น แล้วก็หัวเราะอย่างชอบใจ ส่วนผมตกใจ ผมมีสตางค์เอาไปให้ยายใช้ก็เพราะอาศัยที่ผมได้ขายหวานเย็น” เด็กพูดแล้วก็น้ำตาไหลออกมาอีก ผมนึกสงสารจึงถามว่า “บ้านหนูอยู่ที่ไหนล่ะ เห็นหนูพูดถึงแต่ยาย ไม่เห็นพูดถึงพ่อแม่” เด็กตอบว่า “ผมไม่มีบ้าน พ่อแม่ก็ตายหมด ผมอยู่กับยายๆ ผมถือศีล อาศัยอยู่กับแม่ชีในวัด” ผมได้ยินเช่นนั้น ก็เกิดนึกได้ว่าความฝันของผม บังเอิญเด็กมีรูปร่างสูงต่ำ ท่าทางมาตรงกันกับเด็กคนนี้ จึงคิดว่าเด็กคนที่ผมฝันก็มีส่วนช่วยให้ถูกรางวัล เพราะถ้าผมไม่ฝันก็คงไม่ซื้อสลากกินแบ่ง ฉะนั้น เด็กคนนี้สมควรมีส่วนรับรางวัลด้วย ส่วนเด็กคนขายที่ผมสัญญาจะให้รางวัลนั้น เมื่อตามตัวพบค่อยให้คราวหลัง เมื่อคิดเช่นนั้นผมก็หยิบเงินออกมาจากกระเป๋า พลางพูดว่า “หนูไม่ต้องเสียใจ หยุดร้องไห้ได้แล้ว ฉันจะช่วย เอานี่หนูฉันให้เงินเธอแปดสิบบาท เอาไปซื้อกระติกให้เขา” พูดแล้วก็ยื่นธนบัตรให้เด็กผู้นั้น แล้วพูดต่อไปว่า “เอาแก้วใส่ในกระติกที่แตกนั่นไปทิ้งเสียในที่ที่ปลอดภัย ถ้าทิ้งไว้จะไปตำเท้าคนอื่นเข้า แล้วเอาเปลือกนอกไปซื้อแก้ไส้ในใส่ใหม่คงไม่แพงนัก ไม่เกิน ๒ - ๓ บาท แล้วเอาไปคืนให้เจ้าของหวานเย็น พร้อมทั้งจ่ายค่าหวานเย็นให้เรียบร้อย แล้วเธอก็เป็นคนดีต่อไป ส่วนเงินที่เหลือเก็บไว้ใช้หรือให้ยายก็ได้ตามใจเธอ” เด็กน้อยมองดูธนบัตรใบละยี่สิบ เป็นจำนวนสี่ใบ ด้วยสายตาและกิริยาไม่เชื่อตาและไม่เชื่อหู แล้วก็ยื่นมืออกมารับอย่างงงๆ เพราะไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าจะได้เงินมากเช่นนี้ แกหยิบธนบัตรไปดูและลูบคลำ พอได้สติดวงตาก็แจ่มใสขึ้น แกยิ้มแล้วก็ยกมือขึ้นไหว้ผมแล้วร้องว่า “โอ ! นี่ผมได้เงินแปดสิบบาทจริงๆ หรือครับ แทบไม่น่าเชื่อเลย ท่านทำไมถึงได้ให้ผมมากเช่นนี้ ตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยมีเงินถึงสิบบาทเลยครับ” แกมองดูธนบัตรที่กำไว้ในมือ แล้วก็พูดกับตัวเองว่า “ยายเราคงดีใจมาก เมื่อรู้ว่าเราได้เงินตั้งแปดสิบบาท” ผมเองเมื่อเห็นกิริยาตื่นเต้นของเด็ก ก็พลอยปลื้มใจ เกิดมีความสุขเกินค่าของน้ำเงินที่ผมมอบให้แก คล้ายกับความดีใจที่ได้ช่วยชุบชีวิตคนไข้ให้ฟื้นจากความตาย เงินของผมได้ให้ถูกจุดของผู้ต้องการ แกกำลังปลื้มใจ และฝันอะไรต่ออะไรตามนิสัยของเด็กพอสมควร แล้วก็หันมาทางผม พูดว่า “ท่านใจดีเหลือเกิน ผมคิดว่าคงไม่มีใครให้เงินเด็กมากๆ อย่างนี้นะครับ” ผมยิ้มปลอบใจแกแล้วว่า “คนอื่นเขาอาจให้มากกว่านี้ก็ได้ ถ้าเด็กคนนั้นเป็นเด็กดีมีความซื่อสัตย์ มีความกตัญญูเคารพผู้ใหญ่ ทำให้ผู้ใหญ่มีความรักใคร่เอ็นดูขึ้น” เด็กยิ้มอย่างดีใจแล้วว่า “จริงครับ ยายเคยสอนผมอยู่เสมอ ในเรื่องให้ทำความดี อ้อ ! ท่านอยู่ที่ไหนครับ และท่านชื่ออะไรผมเพียงขอทราบเท่านั้น ผมไม่รบกวนท่านอีก ผมอยากรู้จะได้ไปบอกกับยายว่า ท่านเป็นผู้มีบุญคุณให้เงินกับผมมาก เดี๋ยวยายจะสงสัยและเสียใจ นึกว่าผมได้เงินมาโดยทางไม่ดี แต่ผมก็ไม่เคยโกหก ยายไม่ชอบคนทุจริต ยายเคยเล่าให้ผมฟังถึง เสือเปีย และเสืออ้น ที่ถูกแทงตาย และถูกยิงตาย อายุสั้น เพราะหากินในทางทุจริต ยายบอกว่าคนทุจริตตายเร็วกว่าคนธรรมดา” ผมได้ฟังเด็กพูดเช่นนั้น ก็เกิดสงสารและเอ็นดูมากขึ้นจึงบอกว่า “ชื่อ.......... อยู่ที่ถนน................. ซอย............. บ้านเลขที่....... ถ้าหนูเข้าไปในซอย ถามชื่อฉันคนในซอยนั้นเขาจะชี้บ้านให้ ถ้ามีเรื่องเดือดร้อนไปหาฉันซินะ ถ้าช่วยได้ฉันยินดีช่วย” ผมเห็นกรรมกรทำความสะอาดนั้น มองดูผมอย่างสงสัยคงคิดว่า ทำไมผมจึงให้เงินเด็กขายหวานเย็นมากถึงเพียงนั้น และคงนึกว่าผมอวดเบ่งอวดเป็นเศรษฐี แต่ถ้าเขารู้ว่าผมถูกสลากกินแบ่งรัฐบาลรางวัลที่สาม เขาคงหมดสงสัย เหตุการณ์ครั้งนั้น เมื่อทบทวนถึงความฝันแล้ว ก็คิดว่าเป็นเพียงเหตุบังเอิญเท่านั้น และเด็กคนนั้นก็ไม่ได้ติดตามมาขออยู่ด้วยแม้ว่าผมจะรู้สึกเอ็นดูรักใคร่สงสาร เพราะผมเห็นว่าเป็นคนดี มีนิสัยดี มีความซื่อสัตย์กตัญญู ผิดกับเด็กอื่นที่วิ่งเล่นแถวท้องถนนทั่วๆ ไปก็ตาม แต่ในไม่ช้าผมก็ลืมเหตุการณ์ในครั้งนี้เสียสนิท เวลาได้ผ่านไปประมาณ ๑ ปี ผมไม่ได้พบเด็กคนนั้นอีกเลย ในเวลานั้นผมมีไร่อยู่ต่างจังหวัด และผมต้องเดินทางไปไร่อย่างน้อยเดือนละครั้ง คือวันสิ้นเดือน เพื่อนำค่าแรงและสิ่งอื่นๆ ไปจ่ายเป็นประจำ

เด็กข้างถนน : โดย ท.เลียงพิบูลย์ 1

คืนวันหนึ่ง เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๔ ข้าพเจ้าได้ไปในงานศพภรรยาของเพื่อน ที่คุ้นเคยรักใคร่นับถือกันมาก คืนนั้นมีสวดอภิธรรมหน้าศพ เจ้าภาพได้ตั้งศพไว้ที่บ้าน ข้าพเจ้าไปถึงก่อนพระสงฆ์จะมาสวดพระอภิธรรม หลังจากนำดอกไม้สดและธูปเทียน เข้าไปทำความเคารพศพตามประเพณีแล้ว ก็ออกมานั่งสนทนากับเจ้าภาพ และเพื่อนๆ ส่วนมากเป็นผู้ที่คุ้นเคยกันมาก่อนที่ชานบ้าน ซึ่งเจ้าภาพจัดเก้าอี้ไว้สำหรับแขก จากนั้นแขกซึ่งจะมาเยี่ยมศพ และฟังสวดพระอภิธรรม ต่างก็แต่งกายไว้ทุกข์ ค่อยทยอยกันเข้ามาในบ้านทั้งชายและหญิง บ้างก็มีพวงหรีด บ้างก็มีช่อดอกไม้สด บางท่านก็มีพวงมาลัยมาด้วย เพื่อนข้าพเจ้าผู้เป็นเจ้าภาพกุลีกุจอออกไปต้อนรับ และนำไปห้องตั้งศพเพื่อทำความเคารพ ข้าพเจ้ากำลังนั่งคุยกับเพื่อนสามสี่คน ด้วยเรื่องชีวิตเก่าๆ พอดีเห็นเจ้าภาพนำชายผู้หนึ่ง อายุล่วงเข้าปัจฉิมวัยแล้ว แต่ยังแข็งแรงท่าทางสง่า และแสดงว่าเป็นผู้มีใจดีเดินเข้ามา ข้าพเจ้าได้ยินแต่หางเสียงเจ้าภาพแต่ไกลบอกว่า “โน่น เดี๋ยวผมจะแนะนำให้” ข้าพเจ้ามองดูด้วยความสงสัย ไม่ช้าเจ้าภาพได้นำชายผู้นั้นเดินเข้ามาที่ข้าพเจ้านั่งอยู่ และแนะนำขึ้นว่า “ท่านผู้นี้อยากพบอยากรู้จัก เพราะสนใจในหนังสือ” ข้าพเจ้ากล่าวขอบคุณท่านผู้นั้น เจ้าภาพได้แนะนำให้รู้จักทั่วกัน และเชิญให้ท่านนั่งร่วมสนทนากับข้าพเจ้าและเพื่อนๆ ถึงเรื่องต่างๆ รู้สึกว่าเราเข้าใจและสนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว หลังจากได้สนทนากันนานพอควรแล้ว ท่านผู้นั้นก็เอ่ยขึ้นว่า “ผมมีเรื่องแปลก และเป็นคติอยู่เรื่องหนึ่ง แทบไม่น่าเชื่อ แต่ผมได้ประสบมาด้วยตนเอง จึงอยากจะพบคุณ เพื่อเล่าเรื่องนี้ให้คุณฟัง ครั้งแรกผมตั้งใจจดบันทึกแล้วส่งไปให้คุณ แต่พอจะเริ่มลงมือเขียนไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร บังเอิญได้พบคุณในงานนี้ ผมดีใจมาก เพราะผมจะได้มีโอกาสถ่ายทอดเรื่องนี้ให้คุณไป เพราะมันอัดอยู่กับผมมานานแล้ว ตั้งแต่ได้อ่านหนังสือของคุณ ผมจึงคิดได้ว่า เรื่องของผมถ้าไม่มอบให้คุณมันจะไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้น” ความจริงเรื่องนี้มันเกิดขึ้นมานานแล้ว คือ วันหนึ่งผมไปหาเพื่อนที่บางลำภู ประตูใหม่ ด้วยธุระบางอย่าง ขากลับเดินมาทางสะพานผ่านฟ้า พอขึ้นสะพานได้พบเด็กชายขายสลากกินแบ่งรัฐบาล กำลังชูสลากร้องขายว่า “เหลือใบเดียวครับ ใบเดียวๆ ๆ ครับ” พอผมเห็นเด็กจึงเกิดนึกขึ้นได้ว่า ตอนจวนสว่าง คืนนั้นผมเกิดฝันว่า ผมได้พบพระสงฆ์องค์หนึ่ง ขณะกำลังเดินไปที่แห่งหนึ่งพระองค์นั้นครองจีวรเรียบร้อยเป็นสง่า น่าเคารพนับถือ และมีเด็กคนหนึ่งเดินตามหลังมาด้วย ท่านเดินตรงเข้ามาหาผม ในฝันนั้นผมยกมือขึ้นไหว้ทำความเคารพ ตามมารยาทของชาวพุทธ เพราะในที่นั้นไม่มีคนอื่นนอกจากพระสงฆ์ ผม และเด็กอีกคนหนึ่งเท่านั้น ผมถามท่านว่า “ท่านจะไปไหนครับ” ท่านยิ้มแล้วตอบว่า “อาตมาจะมาหาคุณ” ผมสงสัยจึงถามท่านว่า “มีสิ่งใดที่กระผมพอจะรับใช้ท่านได้ ผมยินดี” ก่อนที่จะพูดท่านได้เหลียวหลังไปดูเด็ก แล้วหันมาพูดว่า “อาตมาเอาเด็กมาให้” พอท่านพูดจบเด็กก็เดินตรงมาหน้าผม แล้วทำท่าจะก้มลงกราบ ผมรีบกอดเด็กนั้นไว้ ด้วยความเอ็นดูก่อนที่เด็กจะก้มลงแล้วพูดว่า “หนูมาอยู่กับฉันเถิด” ยังไม่ทันที่เด็กจะพูดอะไร ผมก็ตกใจตื่น เพราะนาฬิกาปลุกเกิดรัวดังขึ้น มองดูนาฬิกาตีห้าครึ่ง ผมตื่นขึ้นก็คิดว่าเป็นความฝันที่แปลกประหลาดมาก เป็นความฝันสั้นๆ ที่จำได้ติดหูติดตา ถ้าหากผมมีภรรยา ไม่ต้องสงสัยว่าความฝันนี้ต้องมีความหมายว่า ผมจะได้บุตรเป็นชายแน่ แต่ภรรยาผมได้ถึงแก่กรรมไปนานแล้ว และผมก็ได้รับสัญญากับเธอ ก่อนที่เธอจะหมดลม ด้วยความรักและสงสารในความเป็นห่วงของเธอ กลัวทรัพย์สินที่ตกทอดมาถึงผม จะถูกภรรยาใหม่ผลาญ ผมจึงรับปากว่า ผมจะไม่มีภรรยาใหม่อีกในชาตินี้ เพื่อเธอจะได้หมดความเป็นห่วง ฉะนั้น การที่จะได้บุตรชายตามความฝันเป็นอันหมดหวัง ไม่ต้องคิดต่อไป แต่พอเห็นเด็กชายขายสลากกินแบ่งจึงนึกได้ ผมจึงตกลงใจซื้อสลากใบนั้น แล้วเขียนลงไปในต้นขั้วว่า “เด็กให้ลาภ” เมื่อผมฉีกสลากออกจากต้นขั้ว แล้วก็หยิบเงินให้เด็กคนขาย เมื่อเด็กรับเงินแล้วก็พูดว่า “ขอให้คุณโชคดีนะครับ” ผมนึกเอ็นดูจึงพูดขึ้นมาว่า “ถ้าฉันถูกจะให้รางวัลเธอ แต่จะพบเธอได้ที่ไหนล่ะ” เด็กยิ้มแล้วก็ตอบว่า “ผมอยู่แถวบางลำ ภูและสะพานผ่านฟ้านี่แหล่ะครับ” ต่อจากนั้นผมไม่ได้สนใจอีก เพราะตามปกตินานๆ ผมจึงจะได้ซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลสักครั้งหนึ่ง บางครั้งเมื่อออกสลากแล้วผมก็ลืมตรวจ ทิ้งไว้ตั้งสองเดือนจึงได้ตรวจ แต่ไม่เคยถูกเลย ครั้งนั้นในวันออกสลากผมได้ยินข้างบ้านเขาเปิดวิทยุฟังผลการออกสลาก ผู้อ่านประกาศตัวเลขเสร็จ แล้วก็ประกาศชื่อผู้ถูก บังเอิญผมได้ยินแต่ชื่อผู้ถูกว่า “เด็กให้ลาภ” ผมก็เกิดดีใจขึ้นมา แต่เลขที่ออกนั้นผมไม่ได้สนใจฟังแต่แรก จึงไม่ทราบว่าตรงกันกับเลขหมายฉบับของผมหรือไม่ เกรงว่าต้นขั้วจะไปลงพ้องกับใครเข้า เพราะไม่ได้ลงชื่อจริง ต่อมาเมื่อได้สอบกับหนังสือพิมพ์อีกครั้งหนึ่ง จึงได้แน่ใจว่าได้ถูกรางวัลที่สามในงวดนั้น ผมรู้สึกตื่นเต้นและดีใจมาก เพราะยังไม่เคยถูกมาก่อน เวลานั้นการออกสลากยังทำกันที่ศาลากลาง ข้างกระทรวงมหาดไทย และเดือนหนึ่งออกเพียงสามครั้ง

ความดี โดย ท.เลียงพิบูลย์ (5)

ฉะนั้น ขอให้พิจารณาว่าชายผู้นี้ไม่เกี่ยวข้องกับโจรกรรมรายนี้อย่างเด็ดขาดแน่นอน ขอให้ปล่อยตัวพ้นข้อหาไป นายทหารญี่ปุ่นคนนั้น พอได้ยินผมชี้แจงเหตุผล ๓ ข้อ ขึ้นมาอ้าง ก็รู้สึกสีหน้าของแกสลดลงทันที แต่แล้วก็ขอเวลาเพื่อพิจารณาดูให้ถี่ถ้วนเสียก่อนจึงจะแจ้งให้ทราบ ว่าแล้วก็เรียกนายทหารชั้นรองลงมาอีกสามคน ต่างก็เข้านั่งโต๊ะพิจารณาคำปรึกษาในคำให้การของทหารยามที่เห็นเหตุการณ์ และคำแก้ข้อหาของผม ๓ ข้อ แต่แล้วก็ได้ยินเสียงโต้ตอบถกเถียงกันเป็นภาษาญี่ปุ่น แม้ว่าหลักฐานของผมพอที่จะช่วยเหลือพ้นข้อหาไปได้ก็จริง และผมเองก็ไม่แน่ใจว่านายทหารญี่ปุ่นผู้มีใจเป็นธรรมผู้นั้นจะเห็นด้วยกับข้อเสนอทั้ง ๓ ข้อของผม หากนายทหารรองๆ ลงไปต่างไม่เห็นด้วยให้ใช้อำนาจ ไม่สนใจต่อเหตุผลและหลักฐานแล้วผมจะทำอย่างไร เมื่อผมคิดแล้วและได้ยินโต้ตอบกัน ผมก็หายใจไม่ทั่วท้อง เกิดความวิตกว่า ถ้าหากเขาไม่เห็นด้วยนำตัวชายผู้นี้ไปทำโทษทรมาน ผมจะทำอย่างไรดี ผมจะรีบไปติดต่อหน่วยประสานงาน หรือผมอาจจะร้องเรียนไปยังแม่ทัพงิ ซึ่งผมพอที่จะรู้จักดีว่า ท่านผู้นี้เป็นคนตรง รักความยุติธรรม มีคุณธรรมสูงเห็นอกเห็นใจชาวไทยมาก การที่ชาวเราอยู่ได้ด้วยความสงบในยามสงครามได้ ก็เพราะท่านแม่ทัพผู้นี้มีระเบียบวินัย มีศีลธรรม แต่ถึงเช่นนั้นก็คงไม่ทันเวลากว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้เสียก่อน ผมก็จะต้องรอเวลาตัดสินใจของนายทหารญี่ปุ่นอยู่ด้วยความกระวนกระวายใจ เวลากว่าจะผ่านไปแต่ละนาทีดูมันช่างนานเหลือเกิน เป็นเวลาที่ทรมาน ที่สุดความจริงการตัดสินจะปล่อยหรือจะต้องโทษทรมานของชายผู้นี้ ผมก็ไม่ต้องไปรับผิดชอบหรือไปรับโทษด้วย เพียงแต่ช่วยแก้ข้อหาให้ด้วยความสงสารเท่านั้น แต่ผมมีความรู้สึกทางจิตใจเหมือนตกเป็นจำเลยด้วย ถ้าชายผู้นี้ต้องโทษทรมาน ใจของผมก็ได้รับโทษด้วย เพราะผมรู้ว่าชายผู้นี้เป็นคนบริสุทธิ์แน่ ถ้าต้องโทษทรมาน ผมก็ไม่มีความสุข แต่แล้วการถกเถียงโต้ตอบกันก็สงบลง นายทหารญี่ปุ่นต่างก็ลุกขึ้นไปพิสูจน์ฝ่ามือซ้ายของผู้ต้องหา ทำให้ผมมีความสบายใจมากขึ้น เพราะการกระทำเช่นนั้นย่อมจะหมายความว่าพวกนายทหารญี่ปุ่นได้เชื่อถือการแก้ข้อหาของผมแล้ว เมื่อนายทหารญี่ปุ่นพิสูจน์จนพอใจแล้วก็กลับมานั่งปรึกษากันอีกพักหนึ่ง นายทหารผู้เป็นประธานก็สั่งให้พลทหารไปตามตัวทหารทั้งสองที่เป็นผู้จับกุมชายหนุ่มผู้นั้นมาโดยด่วน เมื่อทหารทั้งสองมายืนระวังตรง ยกมือขึ้นคำนับตัวแข็งอยู่ตรงหน้านายทหารผู้นั้นได้ยินเสียงถามโต้ตอบกัน แต่คงได้รับคำตอบไม่เป็นที่พอใจ นายทหารผู้นั้นจึงโกรธมากยกมือขึ้นแล้วก็ใช้ฝ่ามือตบหน้าทั้งซ้ายและขวาอย่างรวดเร็วทั้งสองคน รู้สึกว่าทหารของพระมหาจักรพรรดินั้นมีระเบียบวินัยดี แม้จะถูกตบจนเซไปเซมา แต่มือที่ยกขึ้นคำนับนั้นยังแข็งทื่อ ระวังตรงมิยอมให้ตกลง เมื่อลงโทษพลทหารพอสมควรแล้ว ก็ไล่ให้ออกไปจากที่นั่น หลังจากนั้นก็เดินตรงเข้าไปโค้งคำนับอย่างอ่อนน้อมต่อชายผู้นั้น เป็นการขอโทษผู้ต้องหาเป็นผู้บริสุทธิ์ ที่ถูกจับผิดตัวมา แล้วก็หันมาโค้งให้ผมฐานเป็นผู้ช่วยหาหลักฐานแสดงให้เห็นว่าชายผู้นั้นบริสุทธิ์ ผมเห็นชายผู้ต้องหาเข้าใจดีแกจ้องดูหน้าผมแล้วน้ำตาไหลออกมาด้วยความดีใจ ผมเห็นนายทหารญี่ปุ่นผู้นั้นหยิบธนบัตรจำนวนหนึ่งออกจากข้างในเป็นจำนวนเท่าใดผมไม่ทราบ ยื่นให้ชายผู้นั้นเป็นค่าทำขวัญ และให้ผมแปลคำพูดให้ผู้นั้นฟังว่า เสียใจอย่างสุดซึ้งที่จับผิดตัวมา เขาต้องขอโทษในความผิดพลาดครั้งนี้ ชายผู้นั้นเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ สิ่งแรกที่คิดถึงก็คือ แม่ ฉะนั้นเมื่อปล่อยเป็นอิสระก็รีบไปหาแม่ทันทีด้วยความดีใจ นี่เป็นเหตุการณ์ผ่านมาแล้วสิบกว่าปี บัดนี้ชายผู้นั้นได้พาพรรคพวกมาช่วยนำรถของผมขึ้นจากข้างทาง และพวกเขาทุกคนก็ไม่ยอมรับค่าสินจ้างใดๆ ทั้งสิ้น ผมจึงถามว่า "พวกคุณมีเหตุผลอะไรที่พลอยไม่รับค่าสินน้ำใจ" ชายเหล่านั้นมีคนหนึ่งตอบแทนว่า "พวกผมได้ฟังเรื่องราวของท่านจากปากคำของพี่ทิดมานานแล้ว ก็เกิดมีจิตใจเคารพท่าน โดยยังไม่เคยรู้จักท่านมาก่อน และพี่ทิดยกย่องพูดถึงคุณงามความดีเคารพบูชาท่านอยู่เสมอ พวกเรานับถือพี่ทิดมากเพราะเป็นคนมีความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ พวกผมก็พากันติดนิสัยพี่ทิดไปด้วย และพลอยเคารพนับถือบูชาคุณงามความดี ทั้งที่ไม่เคยพบท่านเลย เมื่อครู่นี้พี่ทิดเขาก็เล่าให้พวกผมที่มาในรถให้ฟังว่า เขาได้พบท่านแล้ว แต่ไม่กล้าเข้าไปทักเพราะรู้สึกว่าท่านจะจำเขาไม่ได้ แต่ก็ได้พยายามแอบจดเบอร์รถของท่านไว้แล้ว เขาตั้งใจเมื่อไปถึงกรุงเทพฯ ก็จะไปสืบหาและจะไปกราบเท้าท่านที่บ้าน เมื่อรถผ่านมาเห็นท่านยืนอยู่ข้างถนน ก็สงสัยจึงนึกรู้ว่าต้องมีเหตุเกิดขึ้น เมื่อมองไปข้างทางเห็นรถท่านตกลงไป พวกผมจึงเต็มใจที่จะรับใช้ท่าน แม้จะลำบากกว่านี้สัก ๑๐ เท่า พวกผมก็เต็มใจ ทำเพื่อบูชาความดีของท่านโดยไม่หวังสินจ้างใดๆ ทั้งสิ้น" ผมได้ยินเช่นนั้นก็ตื้นตันใจ นึกอยู่ในใจว่าคนเรานี่ถ้าอยู่กับคนดีเห็นความดีก็พลอยเป็นคนดีไปด้วย ถ้าอยู่กับคนชั่วก็คงพลอยชั่วไปด้วย ผมจึงเรียกชายผู้นั้นมาแล้วขอโทษที่แต่แรกจำไม่ได้ เพราะเมื่อครั้งที่ผมเห็นในค่ายทหารญี่ปุ่นนั้นหัวยังโล้นผมยังไม่ยาว คิ้วยังไม่ขึ้นซึ่งหน้าตาจึงแปลกกับปัจจุบันนี้ เพราะผมก็ขึ้นคิ้วก็ดก เวลาก็ผ่านไปนานแล้วจึงจำเค้าหน้าไม่ได้ และต่อไปนี้คงจะจำได้แม่นยำเพราะได้ทำบุญคุณไว้ เป็นธรรมดาผู้ที่ได้ให้ความช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นทุกข์นั้น มิได้จดจำว่าช่วยเหลือใครบ้าง เพราะไม่มีความประสงค์สิ่งใดตอบแทน ส่วนผู้ที่ได้รับความช่วยเหลือในยามทุกข์ หากเป็นผู้ที่ดีมีจิตใจสูงย่อมจะไม่ลืมและนึกถึง และผมก็ได้เล่าให้ชายผู้นั้นฟังว่า ก่อนหน้าที่รถเขาจะมาช่วยนั้น ได้มีรถงานผ่านมาคันหนึ่ง ผมได้ยืนโบกมือเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่รถคันนั้นก็ผ่านไปโดยไม่สนใจ กลับโบกมือไม่ทราบความหมายอย่างไร และชายผู้นั้นก็ใช้ความตริตรองแล้วพูดว่า "รถคันนั้นก็เป็นพวกเดียวกัน ออกมาก่อนหน้าผมเล็กน้อย ธรรมดาพวกเราเคยช่วยคนที่ต้องการให้เราช่วยเสมอ เพราะผมเคยได้บทเรียนจากท่านมาแล้ว และพยายามอบรมให้เพื่อนๆ เสมอว่า การช่วยเหลือเป็นการกุศลในทางทำดี แต่ผมสงสัย ทำไมเขาจึงไม่หยุดช่วยเหลือท่าน ขอให้ผมนึกดูก่อน อ้อ ! ผมนึกออกแล้วเขาได้รับคำสั่งทางนายงานให้รีบนำรถเข้ากรุงเทพฯ ด่วน และรีบให้ไปถึงก่อนหนึ่งทุ่ม เพราะฉะนั้นเขาจึงหยุดช่วยท่านไม่ได้ การโบกมือเขาคงหมายความว่าจะมีรถตามมาข้างหลังอีกคันหนึ่งที่ช่วยได้คือรถของผม เมื่อท่านทราบเช่นนี้แล้วก็คงทำให้ท่านหายข้องใจได้บ้าง" ผมบอกว่าผมเข้าใจดีแล้วไม่มีอะไรสงสัย และผมก็ไม่ลืมบอกตำบลบ้านที่อยู่ของผม และเชิญให้พวกเขาไปพบ บางทีผมอาจมีโอกาสตอบแทนบุญคุณของเขาได้บ้าง นี่ก็เป็นเรื่องน่าคิดเรื่องหนึ่ง เรื่องของท่านผู้นี้ ข้าพเจ้าได้เขียนเพราะท่านเจ้าของเรื่องได้เล่าให้ฟังและก็ได้เรียบเรียงขึ้นใหม่ เพราะระยะเมื่อรถตกข้างถนนแล้วมีผู้มาช่วยนำรถขึ้นมาจากข้างถนนนั้นเป็นระยะสั้นเวลาน้อย การสนทนาเล่าเรื่องก็ไม่ได้ใจความนัก เพราะทุกคนกำลังเปียกทั้งฝน เปื้อนทั้งโคลน จึงต้องรีบกลับไปทำความสะอาดตัวตน เพราะอาจป่วยเป็นไข้หวัดได้ ข้าพเจ้าจึงได้เรียบเรียงตั้งแต่เริ่มต้นจนเกิดผลภายหลัง เพื่อได้ข้อความและเรื่องราวพอที่จะนำมาพิจารณาถึงเหตุผล ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดได้เสมอไม่ว่าสมัยใดเวลาใด หากท่านผู้ที่เคยเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เห็นว่าข้อความสำคัญตอนหนึ่งตอนใดยังขาดตกบกพร่อง ข้าพเจ้าผู้เขียนขอรับผิดแต่ผู้เดียวและโปรดได้ให้อภัยด้วย

ด้วยคุณงามความดีประจำจิต
เคยได้ช่วยชีวิตมิตรแปลกหน้า
ให้รอดพ้นโทษทัณฑ์ลงอาญา
จากญี่ปุ่นทหารกล้าคนกลัวเกรง
เมื่อเหตุการณ์ผ่านไปเป็นทศวรรษ
เกิดอุบัติเหตุภัยเพราะรีบเร่ง
รถเสียหลักตกหลุมแสนวังเวง
พบคนเก่งมิตรเก่าช่วยทันการ

ท.เลียงพิบูลย์
จากหนังสือกฎแห่งกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เล่ม ๒
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=372

ความดี โดย ท.เลียงพิบูลย์ (4)

ผมได้ฟังตั้งแต่ชายผู้นั้นเริ่มเล่า ความทรงจำเรื่องเก่าๆ ที่ผ่านไปในอดีตที่ไม่เคยสนใจมาก่อน ก็ค่อยผุดขึ้นมาในความทรงจำอีกครั้งหนึ่ง ค่อยๆ มองเห็นภาพเมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ชัดเจนยิ่งขึ้น เมื่อแกถามผมว่า "ท่านจำผมได้หรือยังครับ" ผมได้ฟังเรื่องราวดูแล้ว ก็จำได้ถูกต้อง จึงพูดว่า "คุณเล่าให้ผมฟังเช่นนี้ ผมก็นึกออกแล้ว ผมยังจำเรื่องราวต่อไปได้ดี ครั้งนั้นบังเอิญผมมีธุระกับนายทหารญี่ปุ่นที่ในค่าย ได้เห็นทิดสึกใหม่ผมยังสั้น คิ้วยังไม่ทันขึ้น ถูกทหารญี่ปุ่นคุมตัวเข้ามา ผมเห็นหน้าก็เกิดสงสาร เพราะหน้าซื่อๆ ไม่น่าจะเป็นขโมยงัดโกดัง เมื่อซักถามเรื่องราวดู ก็รู้สึกว่าเขาคงเจ้าใจผิดกันแน่" ผมจึงถามนายทหารญี่ปุ่นผู้นั้นเป็นภาษาอังกฤษว่า "ท่านจับคนไทยคนนี้มามีโทษทำอะไรผิด" นายทหารญี่ปุ่นคนนั้นเป็นผู้มีนิสัยดี ได้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยกรุงโตเกียวมาแล้ว เป็นคนมีความรู้และมีเหตุผล จึงบอกว่า "พวกนี้เป็นนักก่อกวน ได้ทำการงัดโกดังเก็บของขโมยเครื่องใช้สงครามไป เป็นการทำลายกำลังของมหาจักรพรรดิ เมื่อพูดถึงกฎอัยการศึกในเวลาสงครามแล้ว ชายผู้นี้ต้องมีโทษถึงประหารชีวิต" ผมจึงถามว่า "ท่านแน่ใจหรือว่า ท่านจับคนที่บริสุทธิ์ไม่มีความผิดมาลงโทษ เพราะเราคนไทยถือว่า การลงโทษคนที่ไม่มีความผิดบาปหนักมาก" นายทหารผู้นั้นพูดว่า "จริง เราถือว่าถ้าลงโทษผู้ไม่มีความผิดนั้นเป็นบาป แต่คนนี้เห็นจะจับตัวมาไม่ผิดแน่" นายทหารผู้นั้นตอบว่า "ก็ทหารของเรามารายงานว่าเขาวิ่งไล่ชายผู้นี้ออกไป ที่สุดก็ตามทัน ฉะนั้นคงจับตัวไม่ผิดแน่" ผมจึงพูดว่า "ทหารของมหาจักรพรรดิเป็นทหารที่มีระเบียบวินัยดี มีความรักชาติยิ่งชีวิต เพราะทุกคนสละชีวิตเพื่อชาติและรักความเป็นธรรม เคารพเหตุผลเป็นที่ชมเชยกันทั่วโลก ไม่ว่ามิตรหรือศัตรูจริงไหม" นายทหารญี่ปุ่นคนนั้นพยักหน้าอย่างภาคภูมิใจ "พวกเราทหารของพระมหาจักรพรรดิทุกคน รักษาระเบียบวินัยและรักความยุติธรรมยิ่งชีวิต" ผมจึงพูดว่า "ถ้าอย่างนั้น ท่านจะอนุญาตให้เราสอบปากคำผู้ที่ท่านจับมานี้ เพื่อให้แน่ใจว่าท่านไม่ลงโทษคนบริสุทธิ์ได้ไหมและผมก็ไม่เคยรู้จักชายผู้นี้มาก่อน แต่ผมไม่อยากจะเห็นคนบริสุทธิ์ได้รับโทษ ถ้าเขาทำผิดจริง ผมก็ไม่ขัด เพราะผมไม่ชอบคนทุจริต" นายทหารญี่ปุ่นคนนั้นรักษาความเป็นธรรม เป็นผู้ที่น่าเคารพนับถือคนหนึ่งที่ผมเคยพบมา แกอนุญาตให้เวลาผม ๒๐ นาที เพื่อหาเหตุผลว่าชายผู้นี้บริสุทธิ์ ถ้าพิสูจน์ได้เป็นความจริง ก็จะปล่อยตัวไป เวลานั้นผมก็ยังไม่แน่ใจจะหาเหตุผลอันใด มาลบล้างข้อหาในเวลาจำกัดเช่นนี้ แต่ก็ต้องเสี่ยงดู ถ้าเป็นบุญกุศลก็คงช่วยได้ เมื่อผมสอบถามได้ความตามที่ชายผู้นั้นเล่ามาข้างต้นแล้ว ผมก็ยื่นมือไปจับมือแกเป็นการตกลงว่าผมจะช่วย และปลอบใจแกไม่ให้กลัว ก็รู้ว่าแกเป็นคนบริสุทธิ์แน่นอน ผมจึงพูดว่า "คุณเป็นผู้บริสุทธิ์ไม่ต้องตกใจ คนมีความกตัญญูคงจะกลับไปหาแม่ของคุณได้ในวันนี้" สายตาของชายผู้นั้นแสดงความหวังขึ้นมาพลางพูดว่า "ถ้าผมหลุดพ้นข้อหาไปได้ ผมก็เป็นหนี้บุญคุณของท่านไปตลอดชาติ ผมจะไม่ลืมเลย" ผมจึงบอกกับชายผู้นั้นว่า "อย่าไปพูดถึงบุญคุณเลย ที่ช่วยนี่ก็เพราะคุณมีความกตัญญูต่อแม่ ซึ่งเป็นเพื่อนมนุษย์ที่กำลังได้รับทุกข์จึงอยากช่วย" เวลานั้นไม่มีใครรู้ ผมมีหลักฐานเพียงพอแล้ว จึงบอกกับนายทหารญี่ปุ่นว่า อยากจะพบกับทหารญี่ปุ่นคนที่พบคนร้ายกำลังเข้างัดโกดัง ซึ่งเป็นเวลากลางวันแสกๆ อย่างกล้าหาญมาก เพราะรู้ว่ากลางวันทหารญี่ปุ่นไม่ค่อยกวดขันมาก ไม่ช้าทหารญี่ปุ่นผู้นั้นก็ถูกตามตัวมาให้ผมสอบ โดยผ่านนายทหารเป็นผู้แปลจากคำอังกฤษเป็นภาษาญี่ปุ่นอีกทอดหนึ่ง ได้ความว่าทหารญี่ปุ่นผู้นี้เห็นคนร้ายทั้งสามคนรูปร่างล่ำสัน ถือชะแลงเหล็กคนละอันช่วยกันงัดประตูโรงเก็บของ แต่เมื่อเห็นเข้าก็เป่านกหวีดเรียกเพื่อนๆ มาสกัดจับ แต่พวกขโมยมีแผนการรู้ทางหนีดี กว่าทหารญี่ปุ่นจะมาถึงต่างก็หลบหนีทิ้งชะแลงไว้ทั้งสามอัน ผมจึงขอให้เขานำชะแลงเหล็กที่พวกผู้ร้ายทิ้งไว้นำมาพิจารณาทั้งสามอัน ทหารญี่ปุ่นมีความสงสัยว่ามันไม่เกี่ยวกับการหาหลักฐาน แต่ผมว่ามันเกี่ยวแน่ แล้วผมก็ให้นายทหารญี่ปุ่นผู้นั้นจดบันทึกไว้เป็นหลักฐานในเรื่องที่ผมได้ซักถาม และแกก็ตามผมอดนึกชมเชยนายทหารญี่ปุ่นผู้นั้นไม่ได้ว่า แกเป็นผู้รักความยุติธรรมอย่างน่านับถือ เพราะถ้าหากแกไม่ยอมเสียเวลาให้ผมสอบสวน โดยเอาอำนาจของแกตามอารมณ์เป็นใหญ่ แล้วเรื่องก็จะลงเอยกันด้วยความเศร้า ผมถามย้ำกับนายทหารยามผู้นั้นว่า เห็นคนร้ายกำลังยกชะแลงเหล็กขึ้นงัดประตูทั้งสามคนนั้นแน่หรือ ก็ได้รับการยืนยันว่าแน่ไม่ผิด และว่าชายสามคนนั้นท่าทางแข็งแรงมาก เมื่อผมถามว่า เขาแน่ใจหรือเปล่าว่าชายผู้ที่ถูกจับมานี้ได้ร่วมการงัดโกดังด้วยชะแลงคนหนึ่งในสามคน แต่เมื่อนายทหารญี่ปุ่นคนนั้นพิจารณาดูก็เกิดความลังเลใจ แต่ก็ตอบว่า "ถ้าเขาวิ่งหนีก็ต้องร่วมงัดโกดังด้วย ส่วนรูปร่างเขาไม่แน่ใจ เพราะเห็นแต่ไกลจำหน้าไม่ได้" ผมจึงถามว่า "เคยมีผู้ร้ายมางัดโกดังมาก่อนหรือเปล่า" ก็ได้รับคำตอบว่าประมาณยี่สิบวันมานี้ ก็มีคนร้ายมางัดโกดังครั้งหนึ่ง และรู้สึกว่าจะเป็นพวกเดียวกับพวกที่หนีไปวันนี้ ของที่ถูกขโมยไปวันนี้ มียางนอกยางในรถบรรทุกหายไปหลายเส้น เมื่อถามมาถึงเพียงนี้ก็หมดเวลาที่ได้อนุญาตนายทหารญี่ปุ่นผู้นั้น จึงขอให้ผมอ้างหลักฐานเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ เพื่อจะให้ชายผู้นี้พ้นข้อหาไป ผมขอเสนอให้พิจารณาหลักฐานเพียง ๓ ข้อ และขอให้พิจารณาให้เที่ยงธรรม นายทหารญี่ปุ่นผู้นั้นก็รับคำ ข้อ ๑. ชายผู้นี้ได้บวชเป็นพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ย่อมได้รับการอบรมศึกษาาในศีลธรรมและระเบียบวินัยตามศาสนา ย่อมจะไม่ประพฤติสิ่งที่ชั่วร้ายผิดศีลธรรม การที่บุคคลผู้นี้สึกจากพระออกมาเป็นฆราวาส ก็เพราะความกตัญญูต่อมารดาผู้บังเกิดเกล้า ซึ่งมีวัยชราไม่มีใครดูแลหาเลี้ยง เพราะน้องชายสองคนที่เคยทำงานหาเงินเลี้ยงดูมารดาก็ถูกเกณฑ์เป็นทหารไปราชการสงคราม จำเป็นที่พี่ชายผู้นี้จะต้องรับภาระเลี้ยงดูมารดาผู้ชราต่อไป การที่แกวิ่งหนีมิได้หมายความว่าวิ่งหนี หากแต่แกเห็นเอะอะไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น จึงวิ่งไปหามารดาเพราะเป็นห่วง ข้อ ๒. ทางโกดังก็เคยถูกงัดมาแล้วเมื่อประมาณ ๒๐ วัน และความเข้าใจของทหารยามว่า คงเป็นพวกเดียวกันกับคนร้ายมาทำโจรกรรมในวันนี้ แต่ชายผู้นี้เพิ่งจะสึกมาได้เพียงสามวัน ไม่มีข้อสงสัยว่าชายผู้นี้จะมีการร่วมทำการโจรกรรมครั้งนี้ด้วย ข้อ ๓. ตามที่ทหารยามบอกว่า คนร้ายได้ใช้ชะแลงเหล็กงัดโกดังทั้งสามคน ฉะนั้นขอรับรองว่าชายผู้นี้ไม่เคยแตะต้องชะแลงเหล็กมาก่อนเลย อย่างน้อยก็เป็นเวลาสามเดือน จะพิสูจน์ได้ก็ที่ฝ่ามือของชายผู้นี้อ่อนนุ่มนิ่ม เพราะมิได้ทำงานหนักมาก่อน

ความดี โดย ท.เลียงพิบูลย์ (3)

ผมงงเพราะไม่น่าจะเป็นไปได้ ที่ชายเหล่านี้คล้ายกับนัดกันไว้ไม่ยอมรับเงินที่ยื่นให้ ถ้าไม่ประสบกับตัวเองแล้ว ผมก็คงจะไม่เชื่อว่า กรรมกรหาเช้ากินค่ำจะมีน้ำใจยอมทำงานให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ผมจึงถามชายผู้เป็นหัวหน้าและเป็นชายคนเดียวกันกับคนที่มองดูผมที่ร้านขายอาหาร ซึ่งเป็นผู้ที่ผมไม่ไว้ใจมาแต่แรก บัดนี้รู้ชัดแจ้งแล้วว่าชายผู้นั้นเป็นผู้ที่น่าเคารพนับถือ เป็นหัวแรงนำรถของผมขึ้นจากท้องนาว่า "ทำไมพวกคุณจึงไม่ยอมรับค่าตอบแทนที่ผมได้ให้ด้วยความเห็นอกเห็นใจ" แต่แล้วผมก็เห็นชายผู้นั้นยกมือไหว้ แล้วพูดด้วยเสียงเครือๆ คล้ายจะร้องไห้แสดงความตื้นตันใจว่า "ท่าน..... ท่าน..... จำผมไม่ได้หรือครับ ท่านได้เคยช่วยชีวิตผมไว้ครั้งหนึ่ง" ขณะที่พูดน้ำตาของแกไหลออกมาจากเบ้าตา ผมเห็นกิริยาท่าทางของแกเปลี่ยนแปลงไปเช่นนั้น ก็สงสัย และงงเพราะยังไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ ได้พิจารณาดูแกเท่าไรก็นึกไม่ออก จำไม่ได้ว่าเคยเห็นเคยพบเคยช่วยชีวิตแกที่ไหนมาก่อน นึกว่าชายผู้นี้คงจะเข้าใจผิดไปว่าผมเหมือนกับใครคนหนึ่งที่แกเคยรู้จัก และมีบุญคุณต่อแกอย่างใหญ่หลวง และผู้นั้นคงมีรูปร่างเหมือนผมแน่ ผมจึงพูดกับแกว่า "คุณคงจะเข้าใจผิด และจำคนผิดก็ได้ ผมอยากจะบอกว่า ผมไม่เคยพบเห็นคุณมาก่อนเลย ขอโทษที่ผมพูดความจริงเพื่อให้คุณหายเข้าใจผิด" แต่ความจริงผมก็ไม่ควรตัดสินใจ พูดตรงๆ เช่นนั้น เพราะจำทำให้แกเสียน้ำใจ แต่ผมก็เป็นผู้เคารพความจริง เพราะผมจำไม่ได้และไม่อยากให้ผู้อื่นเข้าใจผิดด้วย แต่ชายนั้นกลับพูดอย่างแน่ใจอีกครั้งว่า "ไม่ผิดครับ ผมจำท่านไม่ผิดแน่ แม้เวลาจะล่วงเลยไปนานแล้วก็ดี แต่ท่านก็ไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก ผมเห็นท่านเมื่อท่านจอดรถซื้อของที่ตลาดแล้ว ผมตั้งใจจะเข้าไปแสดงความเคารพท่าน แต่ไม่กล้า เพราะผมรู้ว่าท่านจำผมไม่ได้แน่ แต่ผมจำหน้าท่านได้ และนึกถึงตลอดมาไม่เคยลืมเลย นึกถึงพระเดชพระคุณที่ท่านได้เคยช่วยในครั้งนั้น เพราะถ้าไม่ได้ท่านในคราวนั้น ผมก็ไม่แน่ใจว่าผมจะได้อยู่เป็นคนถึงบัดนี้หรือไม่ คนที่มีบุญคุณกับผมนั้นผมไม่เคยลืมเลย ผมจึงจำได้อย่างแม่นยำไม่ผิดแน่" ผมได้ฟังแล้วยังงงนึกเท่าไรก็นึกไม่ออก มองดูรอบตัวก็เห็นพวกของชายผู้นั้นมายืนสงบ คอยฟังคำโต้ตอบของผมกับชายแปลกหน้าผู้นั้นอยู่อย่างสนใจ เวลานี้ฝนหยุดตกแล้ว ผมคิดว่าควรจะซักถามความจริง เพื่อให้แจ่มแจ้งแน่ใจว่า ชายผู้นี้ไม่เข้าใจผิดในตัวผมจึงบอกว่า "ไหนคุณลองเล่าเหตุที่เกิดขึ้น ซึ่งทำให้ผมเข้าไปพัวพันช่วยเหลือคุณไว้ บางทีอาจทำให้ผมรื้อฟื้นความทรงจำเก่าๆ ขึ้นมาได้บ้าง เพราะผมอาจลืมไปอย่างที่คุณว่าก็ได้" ชายนั้นกลืนน้ำลายแล้วก็เริ่มเล่าเรื่องว่า "เมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ ๒ เวลานั้นญี่ปุ่นยังไม่เข้าสู่สงคราม เรากำลังเรียกร้องดินแดนคืนจากฝรั่งเศส ผมมีพี่น้องสามคนด้วยกัน ผมเป็นพี่คนโต และมีน้องชายอีกสองคน นอกจากนั้นยังมีแม่ที่อยู่ในวัยชราอยู่คนหนึ่ง มาขอร้องให้ผมบวช เพื่อแม่จะได้เห็นชายผ้าเหลืองของลูก ผมเป็นคนเคารพพ่อแม่ ผมจึงบวชเป็นพระสงฆ์เพื่อตามใจแม่ และเพื่ออุทิศบุญกุศลให้ท่านและให้บิดาผู้ล่วงลับไปแล้ว และยังเห็นว่าน้องชายอีกสองคนพอจะทำงานได้เงินมาเลี้ยงแม่ให้มีความสุขได้ตามสมควร ผมก็พอนอนใจได้ไม่ต้องเป็นห่วง" ต่อมาเหตุการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา เพราะประเทศไทยเวลานั้น มีผู้นำได้เรียกร้องดินแดนที่เคยเสียไปเมื่อ ร.ศ. ๑๑๒ คืนจากฝรั่งเศส ถึงกับประชาชนเดินขบวนสนับสนุน ในที่สุดก็ส่งทหารบุกเข้าอินโดจีนเข้ายึดดินแดนที่เสียไปคืนมา ในที่สุด น้องชายของผมทั้งสองคนก็ถูกเกณฑ์เข้ารับราชการทหาร และได้ถูกส่งไปสงครามชายแดน ทางบ้านผมคงมีมารดาผมคนเดียว แต่บังเอิญมีหลานสาวห่างๆ มาอยู่เป็นเพื่อนคอยหุงหาอาหารให้กิน ต่อมาทหารญี่ปุ่นก็ขึ้นประเทศไทย ทำให้ประเทศไทยต้องประกาศสงครามกับมิตรประเทศด้วยความจำเป็น เวลานั้นผมยังบวชเป็นพระ แต่การจำศีลภาวนาเล่าเรียนพระธรรมวินัยไม่สะดวกด้วยจิตใจไม่สงบไม่มีสมาธิ ตั้งแต่น้องชายเป็นทหารไปราชการสงครามชายแดน จิตใจผมเป็นห่วงแม่อยู่ตลอดเวลา ต่อมาทางพันธมิตรก็ส่งเครื่องบินเข้าโจมตีพระนคร และหลานสาวห่างๆ ก็จัดการแต่งงานไปอยู่กับสามี ความเป็นห่วงแม่จนไม่สามารถจะบวชเป็นพระอยู่ต่อไปได้ จึงตกลงตัดสินใจลาอาจารย์ขอสึกออกมาเพื่อเลี้ยงดูมารดาแทนน้องชายทั้งสองคน หลังจากได้สละเพศพรหมจรรย์ได้เพียงสามวัน เมื่อผมออกจากวัดในวันที่สามนั้นเอง ผมได้เดินทางผ่านมาทางค่ายพักของทหารญี่ปุ่นที่ยึดโกงดังสินค้าของฝรั่งไว้ ทันใดนั้นผมก็ได้ยินเสียงเอะอะได้ยินเสียงคนวิ่ง ผมเองก็ตกใจคิดว่าคงจะมีพวกใต้ดินของไทย ได้เริ่มทำการลุกขึ้นต่อต้านทหารญี่ปุ่นตามที่ผมเคยทราบมาทางลับ ทำให้ผมเกิดเป็นห่วงวิตกถึงแม่ กลัวจะไม่ปลอดภัย คิดว่าพวกใต้ดินเริ่มงานต่อต้านแล้ว ผมก็ตั้งใจจะพาแม่ไปหลบหาที่พ้นภัย ผมวิ่งไปคิดไปแต่วิ่งไปได้ไม่ไกลนัก ก็ถูกทหารญี่ปุ่นสองคนซึ่งวิ่งมาทางไหนผมก็ไม่ทราบ ใช้มือรัดคอจับผมได้ และคุมตัวผมนำมาหานายทหารญี่ปุ่นที่ค่ายพัก ระหว่างทางที่คุมตัวผมมานั้นมีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ทั้งชายทั้งหญิงออกมายืนดู และต่างก็วิจารณ์ความคิดเห็น มีชายสูงอายุผู้หนึ่งพูดขึ้นว่า "น่าสงสารอ้ายทิดที่สึกออกมา ผมยังไม่ทันยาวก็มางัดโกดังญี่ปุ่น ประเดี๋ยวก็โดนกรอกน้ำสบู่หรอกวะ ถ้ามันจับได้แล้วไม่มีใครหนีพ้นดื่มน้ำสบู่ไปได้" เสียงที่พูดนั้นแสดงความเห็นใจและสงสาร ผมได้ยินแล้วตกใจเราจะทำอย่างไรดี นึกถึงแม่เป็นห่วงแม่ ถ้าเราเป็นอะไรไป แม่จะลำบากยากเย็นเพียงไหน เมื่อนึกแล้วผมก็มีความกลัวยิ่งนักผมเป็นคนบริสุทธิ์ แต่จะทำอย่างไรดี จะบอกทหารญี่ปุ่นได้อย่างไรว่า ผมไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขโมยงัดโกดังในครั้งนี้ การที่ผมวิ่งไปหาแม่นั้น ทำให้ทหารญี่ปุ่นคงเข้าใจผิดคิดว่าผมคงวิ่งหนี คงเป็นคนร้ายแน่ และคิดว่าคนร้ายตัวจริงก็คงวิ่งมาทางเดียวกับผม ยิ่งคิดก็ทำให้เป็นห่วงแม่ยิ่งขึ้น ถ้าทหารญี่ปุ่นนำไปทรมานจนตายแม่ก็คงไม่รู้เรื่อง แม่คงหลงเข้าใจผิดว่าลูกหนีแม่ไป แต่ถ้าแม่รู้เรื่องแม่คงตกใจและเสียใจมาก อุตส่าห์สึกออกมาตั้งใจจะทำงานหาเงินมาเลี้ยงแม่ให้มีความสุขแทนน้องชาย แต่ไม่นึกว่าเคราะห์กรรมมาเป็นเช่นนี้ ไม่รู้จะทำอะไรดี ได้แต่อธิษฐานว่า ผลของการกตัญญูต่อแม่บังเกิดเกล้า และความบริสุทธิ์ไม่มีความผิด ด้วยอำนาจทั้งนี้ ขอให้พระคุ้มครองให้พ้นจากภยันตรายด้วย ทหารญี่ปุ่นทั้งสองคนก็คุมตัวผมเข้าไปมอบให้นายทหารในที่ทำการ ผมก็เห็นท่านนั่งอยู่ในนั้นด้วย และกำลังนั่งสนทนากับนายทหารญี่ปุ่น เมื่อนายทหารหันมาพูดกับทหารที่คุมตัวผมมา ท่านก็หันมามองดูผมด้วยสายตาที่บอกถึงความสงสารและเมตตา เมื่อท่านถามผมก็เล่าความจริงให้ท่านฟัง เมื่อนายทหารญี่ปุ่นคนนั้นสั่งให้นำผมเข้าไปในห้องทรมาน ท่านเป็นผู้ห้ามไว้ เท่านั้นท่านพอที่จะจำได้หรือยังครับ ?

ความดี โดย ท.เลียงพิบูลย์ (2)

ผมจึงโบกมือตั้งแต่รถยังอยู่ไกล เพื่อให้คนขับมีเวลาเบาเครื่อง แต่รู้สึกว่าไม่ได้ผล เพราะรถคันนั้นไม่ยอมเบาเครื่อง กลับเร่งเครื่องผ่านไปอย่างรวดเร็ว ซ้ำคนที่นั่งมาข้างคนขับโบกมือส่ายไปส่ายมา คล้ายกับว่าไม่ใช่ธุระของเขา เมื่อยืนนึกว่าเมื่อรถเขาไม่ช่วยแล้วเราจะทำอย่างไรดี มองดูบ้านชาวนาเห็นอยู่ไกลลิบๆ ถ้าเราบุกเข้าไปที่บ้านชาวนากว่าจะถึงก็คงเสียเวลานาน ซึ่งไม่สามารถจะกำหนดแน่นอน ถึงไปถ้าหากไม่มีใครเขายอมมาช่วยก็คงเสียเวลาเปล่า และก็ไม่รู้จะให้ช่วยอย่างไร นอกจากจะช่วยเกณฑ์คนมาสัก ๑๐ คนก็พอจะมีทาง และจะทิ้งเด็กและผู้หญิงไว้ในรถในสถานที่เวิ้งว้างเช่นนี้ก็ไม่ควร ถ้าไม่รีบนำรถขึ้นจากนาในไม่ช้าก็จะค่ำ พวกเด็กคงหิวเพราะในรถไม่มีอาหารหนัก กำลังคิดแก้ปัญหาไม่ตกว่าจะทำอย่างไรดี ฝนก็ตกลงมาหนาขึ้นจะลงไปหลบฝนในรถก็ใช่ที่ ครั้นจะยืนอยู่บนถนนก็ไม่มีที่หลบฝน ก็พอดีเห็นรถงานอีกคันหนึ่งวิ่งมาทางจะเข้ากรุงเทพฯ ฝนก็ตกผมกำลังคิดว่าจะยกมือขอความช่วยเหลือดีไหม กลัวเขาจะผ่านไปโดยไม่ใยดี เพราะฝนกำลังตกหนาเม็ด เมื่อครู่ฝนหายรถผ่านมาขอความช่วยเหลือ เขาก็ไม่สนใจจะช่วยโดยผ่านไป แต่บัดนี้ฝนกำลังตกแล้วจะมีใครบ้างจะใจดีหยุดรถช่วยในเวลาฝนตกเช่นนี้ เขาคงจะผ่านไปเหมือนคันที่แล้วมาเป็นแน่ กำลังนึกงงไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี ก็พอดีรถคันนั้นกำลังผ่านหน้าไป มองเห็นชายที่มองผมที่ร้านอาหารนั่งมาข้างหน้ารถ และมีชายร่างกายล่ำสันหลายคนนั่งอยู่ในกระบะ โดยเอาผ้าน้ำมันผืนใหญ่บังหัวไว้คลุมไม่ให้เปียกตลอดทุกคน กันฝนที่ตกลงมาและต่างก็เอามือยันผ้าขึ้นเพื่อให้อากาศเข้าและมองเห็นข้างทาง ผมมองดูรถที่ผ่านไปด้วยความหมดหวัง นึกติตัวเองที่ไม่โบกมือขอความช่วยเหลือ เขาจะช่วยหรือไม่ช่วยมันอีกเรื่องหนึ่ง ควรจะลองดู นึกเสียใจที่ยืนงงตัดสินใจไม่ถูก ที่ปล่อยให้รถคันนั้นผ่านไปโดยไม่ได้ขอความช่วยเหลือ กำลังนึกตำหนิตัวเองอยู่ในใจ ก็พอดีเห็นรถคันที่ผ่านเลยไปแล้วเหยียบห้ามล้อหยุดรถห่างจากที่ผมยืนประมาณ ๒๐–๓๐ วา แต่แล้วก็ถอยหลังมาหยุดรถตรงที่ผมยืนอยู่พอดี ทันใดนั้นชายผู้ที่จ้องหน้าผมที่ร้านอาหาร ก็กระโดดลงจากรถอย่างว่องไวแล้วก้มหัวยกมือไหว้นอบน้อม ผมเองก็งงบอกไม่ถูกว่า ผมรู้สึกอย่างไรในเวลานั้น เสียงผู้ชายผู้นั้นพูดว่า "ท่านจะให้ผมทำอะไร โปรดใช้มาเถิดครับ" ผมยังไม่หายงงและเกิดตื้นตันใจ เหมือนมีอะไรจุกอยู่ในลำคอสะอื้นอยู่ในอก ได้แต่ชี้มือลงไปข้างทางเหมือนคนใบ้พูดอะไรไม่ออก แต่ชายผู้นั้นรู้ความหมายดี นี่ก็แสดงให้เห็นว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน เมื่อครู่นี้หลังจากผมได้โบกมือ ขอให้รถงานคันนั้นหยุดขอความช่วยเหลือ แต่แล้วความหวังก็สูญสิ้นไป แต่แล้วก็มีรถงานเช่นเดียวกันผ่านมา แต่ผมไม่กล้าขอความช่วยเหลือเพราะเข็ด แต่แล้วสิ่งที่ไม่นึกไม่ฝันก็เกิดขึ้น รถคันที่ไม่ได้ขอความช่วยเหลือกลับยินดีช่วยเหลือด้วยความเต็มใจ แม้แต่ฝนกำลังตกก็ไม่ย่อท้อ ผมเห็นชายรูปร่างล่ำสัน ๘ คน ได้รีบลงจากรถพร้อมทั้งคนขับด้วยความว่องไว เมื่อชายผู้นั้นบอกว่า "พวกเรามาช่วยกันนำรถของท่านขึ้นจากท้องนาหน่อย" แต่แล้วผมก็เห็นเหล่าชายฉกรรจ์พวกนั้น หยิบเชือกยาวออกมาจากรถคันนั้น แล้วก็ถอยรถงานคันนั้น เอาท้ายรถจ่อข้างถนนให้ใกล้กับรถของผม แล้วก็ผูกไว้ท้ายรถบรรทุกอีกข้าง เขาก็บุกลงไปผูกไว้ใต้หน้าหม้อน้ำที่รถของผม เมื่อผูกเสร็จเรียบร้อย ชายผู้เป็นหัวหน้าสั่งงานเปิดประตูขึ้น ไปนั่งบนรถเก๋งของผม โดยไม่ต้องให้เด็กและผู้หญิงลงจากรถ ผมจะเข้าไปช่วย ชายผู้นั้นพูดว่า..... "ท่านไม่ต้องลำบากหรอกครับ ปล่อยให้พวกผมทำประเดี๋ยวก็เรียบร้อย ไม่ยากเย็นอะไร อย่าว่าแต่รถเก๋งเบาๆ เลยครับ รถกุดังใหญ่ๆ หนักกว่านี้มากพวกผมก็เอาขึ้นมาได้ โดยไม่ลำบากนัก" ผมได้แต่ยืนดู ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกเขาจัดการ รู้สึกว่าคนเหล่านั้นทำงานกันด้วยความสามัคคีประสานงานกันอย่างรวดเร็ว และทุกคนทำงานด้วยความเต็มใจและว่องไว ผมเองก็อดชมไม่ได้ เมื่อผูกเชือกเรียบร้อยเพื่อใช้รถบรรทุกลากรถของผม ทันใดนั้นชายฉกรรจ์อีก ๗ คน ก็บุกลงไปในนาคอยเข็นหลังรถเก๋งผม เมื่อรถบรรทุกเริ่มดึงรถของผมขึ้นจากหล่ม ชายผู้นั่งถือพวงมาลัยอยู่ในรถของผมก็เดินเครื่อง แล้วใช้เกียร์หนึ่งเข้าช่วยแรงชายทั้ง ๗ คนช่วยยกและดันช่วยแรงทางท้ายรถ แต่แล้วรถของผมก็ถูกลาก และถูกยกและถูกดันก็เคลื่อนจากที่ติดหล่มในนา ก็ค่อยๆ ถูกดึงถูกดันขึ้นมาอยู่บนถนนอีกครั้งหนึ่ง และเตรียมพร้อมที่จะเดินทางต่อไปได้ ผมเห็นชายเหล่านั้นเปื้อนโคลนเปียกฝน ไม่เห็นมีใครบ่นว่ายากลำบาก มีแต่หน้าตายิ้มแย้มหัวเราะ และทำงานด้วยความสนุกสนานด้วยสมัครใจ ผมอดนึกชมเชยไม่ได้ ผมได้พูดกับชายผู้เป็นหัวหน้าสั่งงานว่า "ผมไม่รู้ว่าจะพูดขอบใจอย่างไรถูก เพราะผมดีใจจนน้ำตาไหล พูดไม่ออกที่พวกคุณได้มีน้ำใจ ให้ความกรุณามาช่วยเหลือนำรถของผมขึ้นมาอยู่บนถนนได้ โดยผมไม่ทันได้ร้องขอ ผมนึกว่าจะแย่เสียแล้ว คิดว่าวันนี้คงหมดหวังจะนำรถกลับบ้าน นับว่าเป็นบุญคุณที่ผมไม่สามารถจะลืมได้ ที่พวกคุณได้เห็นอกเห็นใจผมช่วยเหลือผมในเวลาลำบากเช่นนี้ และมิได้นึกถึงความยากลำบากแค้น ต้องเปียกต้องเปื้อนโคลนก็ไม่นึกรังเกียจ" เสียงผู้ชายผู้ที่จ้องมองดูผมที่ร้านอาหารพูดขึ้นว่า "คนทำความดีอย่างท่านไม่ถึงที่อับจนง่ายๆ หรอกครับ" ผมได้ยินชายผู้นั้นพูดเป็นนัย ก็ชักสงสัย แต่ก็ไม่ได้ซักถามอะไร เพราะทุกสิ่งมันคล้ายกับฝันร้าย และเวลานี้กำลังตื่นจากฝันร้าย ผมก็ยังงงๆ มองดูบางคนก็เอากระป๋องจากรถบรรทุกลงไปตักน้ำในคูข้างทางอีกฝั่งหนึ่ง ช่วยล้างรถล้างโคลนที่ติดล้อและต่างก็ช่วยกัน บางคนก็แก้เชือกที่ผูกรถออก เพราะหมดความจำเป็นที่จะใช้แล้ว ผมยืนนึกว่าชายเหล่านี้เป็นผู้ที่หาเช้ากินค่ำ อุตส่าห์ช่วยเหลือทำงานอย่างเต็มใจเช่นนี้ ก็ควรจะได้รับการตอบแทนอย่างงามบ้าง ถ้าไปจ้างอู่มายกขึ้นก็คงจะเสียเงินอย่างน้อยก็หลายร้อยบาท และทั้งเสียเวลาต้องลำบากไปอีกนาน จึงคิดว่าผมจะให้เงินชายใจดีเหล่านี้คนละ ๒๐ บาท เพื่อเป็นสินน้ำใจ เพราะคนที่มีน้ำใจดีในกลุ่มกรรมกรหาเช้ากินค่ำเช่นนี้หาได้ยาก และแล้วผมก็หยิบธนบัตรฉบับละยี่สิบบาทยื่นส่งให้เป็นรายตัว พลางพูดว่า "ขอให้รับไว้ อย่านึกว่าเป็นค่าสินจ้างเลย พร้อมทั้งขอขอบใจอย่างสูงจากผมด้วย" แต่ผมก็ได้รับความแปลกประหลาดใจอีกครั้งหนึ่ง เพราะผมได้ยื่นเงินให้คนไหน เขาก็ก้มศรีษะลงยกมือไหว้ยิ้มอย่างมีความสุข สั่นศรีษะไม่ยอมรับเงินที่ผมยื่นให้แล้วพูดว่า "ขอให้ผมรับใช้ท่านโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนดีกว่าครับ"

ความดี โดย ท.เลียงพิบูลย์ (1)

ชีวิตของสัตว์โลกที่เกิดมาใต้ดวงอาทิตย์ ย่อมจะมีเรื่องแปลกประหลาดมหัศจรรย์เกิดขึ้นได้ทุกยุคทุกสมัย ทุกวันทุกเวลามีทั้งเรื่องดีและเรื่องชั่ว มีทั้งผู้ประกอบความดีด้วยคุณธรรมสูง และผู้ประกอบกรรมชั่วด้วยจิตใจต่ำเหี้ยมโหดดุร้าย มีเรื่องแปลกมหัศจรรย์เกิดขึ้นเสมอตลอดมา หากบางเรื่องเกี่ยวกับคนใหญ่คนโตก็เป็นสิ่งที่สนใจของประชาชน เรื่องก็แพร่ออกไปรู้กันทั่วเมืองทั่วประเทศ หากบางเรื่องเกิดขึ้นในหมู่บ้านหรือในหมู่คณะประชาชนก็ไม่สนใจนัก เรื่องก็รู้อยู่ในวงแคบๆ แม้จะได้เล่าสู่กันฟังก็อยู่ในวงจำกัด เมื่อผู้ประสบการณ์ได้จากโลกนี้ไปเมื่อสิ้นอายุขัย เรื่องราวต่างๆ ที่น่ารู้น่าศึกษาก็สูญสิ้นไปด้วยเหมือนคลื่นกระทบฝั่ง อนุชนรุ่นหลังไม่มีโอกาสที่จะรู้เรื่อง เพราะไม่มีใครบันทึกจดจำเอาไว้เป็นอักษรเผยแพร่ หากจะมีผู้นำมาเล่าสู่กันฟังและก็เป็นธรรมดาการเล่าด้วยปากเปล่า ย่อมจะมีขาดตกบกพร่องในข้อความสำคัญ หรืออาจต่อเติมเปลี่ยนแปลงผิดจากความจริงกัน ต่อๆ ไป เหลือความจริงน้อยลง แล้วค่อยๆ เลือนลาง ไม่ช้าก็ลืมเหตุการณ์ที่ควรจะสนใจ ไม่ถาวรยั่งยืน เพื่อเป็นอนุสรณ์สมบัติของอนุชนรุ่นหลัง เป็นที่น่าเสียดายยิ่งนักหากท่านผู้ใดได้ประสบการณ์ที่ประหลาดมหัศจรรย์ พอจะเป็นเรื่องเตือนในศีลธรรม ขอให้ช่วยกันบันทึกไว้ อาจเป็นประโยชน์แก่เยาวชนในอนาคตข้างหน้า เรื่องที่ข้าพเจ้าจะบรรยายต่อไปนี้ เป็นเรื่องของท่านผู้เป็นทนายความ เป็นแขกของคุณพี่ผู้หนึ่ง ซึ่งท่านผู้นี้มีจิตใจเมตตาปรานี เมื่อเห็นผู้ใดได้รับความทุกข์ก็มีจิตใจสงสาร เมื่อรู้ว่าผู้บริสุทธิ์กำลังตกอยู่ในอันตราย ก็พยายามช่วยให้พ้นทุกข์ เมื่อมีโอกาสก็จัดการช่วยเหลือ โดยไม่ต้องให้ผู้ใดออกปากร้องขออ้อนวอน และไม่หวังสินจ้างรางวัลใดๆ ทั้งสิ้น ทำเพื่อช่วยผู้บริสุทธิ์เพื่อมนุษยธรรม และเมื่อได้ช่วยเหลือให้พ้นจากภัย สิ่งที่ได้รับก็คือความปีติยินดีเกิดขึ้นทางจิตใจ เป็นเครื่องตอบแทน เป็นความรู้สึกอันสูงค่ายิ่งกว่าทรัพย์สินใดๆ ทั้งสิ้น ต่อมาท่านผู้นั้นก็ลืมเรื่องเหล่านี้กลายเป็นเหตุการณ์ในอดีต ดังท่านผู้นั้นได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ข้าพเจ้าฟังภายหลังว่า วันหนึ่งผมได้ขับรถส่วนตัวไปเที่ยวต่างจังหวัดพร้อมด้วยครอบครัว มีภรรยาและบุตรชายที่ยังเด็กอีก ๒ คน ขากลับเมื่อมาถึงหมู่บ้านริมทาง มีร้านค้าอาหารและขายของใช้ บุตรชายของผมเกิดอยากจะกินฝักบัวซึ่งชาวบ้าน และเด็กๆ นำใส่กระจาดมาขายผม จึงหยุดรถริมทางหน้าร้านขายอาหาร ผมเร่งให้ภรรยารีบเลือกซื้อฝักบัวให้เด็ก เพราะตั้งใจจะรีบกลับ ไม่อยากกลับถึงบ้านดึกเกินไป เพราะระยะทางอีกประมาณสองชั่วโมงกว่าจะถึงกรุงเทพฯ และฝนก็ตั้งเค้ามาแล้ว การขับรถกลางคืนเวลาฝนตกนั้นไม่มีความสะดวก ระหว่างภรรยาผมกำลังเลือกซื้อและต่อราคากันนั้น ผมได้มองเข้าไปในร้านอาหาร ก็บังเอิญมองไปเห็นชายผู้หนึ่ง อายุประมาณ ๔๐ เศษ กำลังจ้องมองดูผมอย่างตั้งอกตั้งใจ เมื่อผมไปสบตาเข้า แกก็รีบหลบสายตาไปทางอื่น แสดงกิริยาพิรุธ ผมจึงมีความสงสัย ได้พยายามดูหน้าตารูปร่างของแกแล้ว เป็นผู้ที่ไม่เคยรู้จักและเคยเห็นมาก่อน พยายามนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก จึงแน่ใจว่าชายผู้นี้ไม่เคยพบและรู้จักกันมาก่อน เมื่อตัดความไม่เคยรู้ออกแล้ว คราวนี้ก็มีปัญหาที่จะพิจารณาดูว่าชายผู้นี้มีความหวังดีหรือหวังร้าย การที่จ้องหน้าผู้ที่ไม่เคยรู้จักโดยไม่มีเหตุผลนั้นไม่ได้ ถ้าหวังร้ายก็ต้องมีผู้จ้างมาคอยดักทำร้ายแต่ข้อนี้ก็มองไม่เห็น เพราะผมไม่เคยมีเรื่องกับใครพอที่จะสร้างความเจ็บแค้นแสนสาหัส ทำให้ผู้อื่นทุกข์ยากลำบาก ได้ทราบแต่ผู้ที่มีศัตรูคอยอาฆาตก็คือพวกที่หักหลังหรือฉ้อโกง เป็นชายชู้กับภรรยาของผู้อื่นซึ่งเป็นที่รักหวงแหน เป็นการย่ำเกียรติและหยามหน้ากัน ทำให้เจ็บแค้นแสนสาหัส ทำให้เกิดพยาบาทคอยจองเวรกันตลอดไป สิ่งเหล่านี้ผมไม่เคยประพฤติเรื่องเช่นนี้ ไม่มีใครรู้ดีเท่าตัวของตัวเอง ฉะนั้น ปัญหาเรื่องมีศัตรูคอยปองร้ายจึงแน่ใจว่าไม่มี และคราวนี้ก็คงเหลือปัญหาเดียว ก็คือคนร้ายคอยปล้นคอยจี้ พวกนี้ไม่เลือกว่าเหยื่อของตนนั้นจะเป็นใคร ถ้ามีทรัพย์สินพอที่จะจี้ได้ก็ไม่สนใจ ใครดีใครชั่วแม้แต่ผู้ทรงศีลก็ไม่ละเว้น แม้แต่พระพุทธรูปก็ยังตัดพระเศียรได้ เมื่อนึกถึงเพียงนี้ก็ไม่สบายใจ แล้วพิจารณากิริยาท่าทางของชายผู้นั้นดูอีกครั้ง ก็รู้สึกว่าชายผู้นี้มีลักษณะเช่นนี้คงไม่เป็นผู้ร้ายแน่ และคงเหลือปัญหาข้อเดียวคือ แกคงจำคนผิด ฉะนั้นจึงจ้องมองดูอย่างไม่แน่ใจ ที่สุดปัญหาต่างๆ ก็คลี่คลายไปในทางที่ดี เมื่อมองดูบริเวณนั้นก็เห็นรถบรรทุกใช้งานอยู่สองคัน จึงคิดว่าคงจะเป็นคนงานหรือคนขับรถ ฉะนั้นความสงสัยแต่แรกก็สิ้นสุดลงด้วยความสบายใจ เมื่อภรรยาผมได้ซื้อของตามที่ต้องการแล้ว ผมก็ขับรถวิ่งตรงเข้ากรุงเทพฯ ทันที เวลานั้นฝนตกกำลังลงเม็ด แม้จะไม่ตกมากนักแต่ก็พอทำให้ถนนเปียก ทำให้ขับรถต้องระวังเพราะถนนลื่น ยิ่งเป็นถนนที่ราดยางก็ต้องเพิ่มความระมัดระวังยิ่งขึ้น เมื่อรถออกวิ่งมาได้ประมาณ ๒๐ นาที ถนนตอนนั้นลื่นมาก เพราะรถขนดินได้ทำดินตกหล่นไว้กลางถนน เมื่อถูกฝนละลายเป็นโคลน ทำให้ถนนซึ่งลื่นอยู่แล้วเพิ่มความลื่นมากขึ้น ทำให้ท้ายรถปัดไปปัดมาผมคุมพวงมาลัยไม่อยู่ เพราะกลัวจะคว่ำเป็นอันตรายแก่เด็ก ผมก็จำเป็นต้องปล่อย เพียงแต่คอยประคองพวงมาลัยให้มันค่อยๆ ไหลลงในที่นาที่ดินชื้นแฉะ เวลานี้ผมใจหายหมดเพราะกลัวรถจะคว่ำจะเป็นอันตรายแก่เด็กและผู้หญิง เมื่อรถไหลลงไปถึงที่ก็จอดนิ่งอยู่ที่นา ข้างล่างคันนากับพื้นถนนที่รถไหลลงไปนั้นสูงพอใช้ เมื่อผมดูคันนากับขอบถนนก็รู้ดีว่า ผมหมดปัญญาหมดความสามารถที่จะนำเอารถขึ้นสู่ถนนได้โดยปลอดภัย ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ผมก็เริ่มตกหนาเม็ดขึ้น เมื่อจะลงจากรถก็ไม่รู้ว่าจะไปหลบฝนที่ไหน จะเปิดประตูรถออกมาก็ต้องย่ำลงไปในดินโคลนท้องนา จะต้องถอดรองเท้า จะนั่งอยู่เฉยๆ รอเวลาก็คงไม่มีวันที่จะนำรถขึ้นมาจากท้องนาได้ ความรู้สึกปั่นป่วนไปหมด แต่ก็ลองติดเครื่องเข้าเกียร์หนึ่ง แล้วเร่งเครื่องเพื่อจะให้รถหลุดพ้นจากหล่มโคลน ยิ่งเร่งเครื่องล้อหมุนอยู่กับที่ รถยิ่งจมลึกลงไปในโคลน แม้จะเข้าเกียร์ถอยหลังแล้ว เดินหน้าเท่าใดรถก็ไม่เขยื้อนจากที่ได้ กลับยิ่งจมลึกลงไปในดินมากขึ้น เกือบจะติดตัวถังใต้ประตู ผมไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี เหงื่อออกชุ่มเสื้อแข่งกับน้ำฝน หมดปัญญาแก้ปัญหาไม่ตก เมื่อรู้ว่าตัวเองหมดความสามารถ จึงคิดว่าจะพึ่งรถที่วิ่งผ่านไปมา คงจะมีคนเห็นอกเห็นใจบ้าง เมื่อมองดูสภาพของรถแล้วก็เห็นอาการหนัก โคลนดูดเข้าไปตั้งครึ่งคัน ยังไม่เห็นว่าเขาจะช่วยเราได้อย่างไร ยิ่งฝนตกก็ยิ่งเป็นหล่มมากขึ้น เมื่อเป็นว่าฝนซาลงจวนจะหยุด ผมก็จัดแจงถอดรองเท้าไว้ในรถ และสั่งคนในรถ บอกว่าให้นั่งอยู่เฉยๆ ผมจะไปขอร้องให้คนเขามาช่วย เสร็จแล้วผมก็เปิดประตูรถบุกขึ้นมาบนถนน เมื่อมายืนบนขอบถนนแล้ว ก็คอยว่าเมื่อไหร่จะมีรถวิ่งผ่านมาจะได้โบกมือให้หยุด แล้วขอความช่วยเหลือ แต่รออยู่ไม่ช้าก็มองเห็นรถแล่นมาแต่ไกลจะเข้ากรุงเทพฯ

Sunday, January 14, 2007

มองชีวิตคิดดี : การให้...ให้ด้วยหัวใจ

การให้...ให้ด้วยหัวใจ (อ.ศริวรรณ เกษมศานต์กิดาการ )

เมื่อเดือนก่อน ป้าโชคดีได้ไปฟังธรรมจากพระมหาทวีปแห่งวัดชลประทาน ปากเกร็ด ได้ข้อคิดเรื่อง "การให้" มาเล่าให้หลานฟัง เผื่อว่าหลานจะได้เลิกน้อยอกน้อยใจเวลาคุณพ่อคุณแม่ให้อะไรพี่หรือน้องไม่เท่ากัน ไม่ได้หมายความว่า ท่านลำเอียงนะจ๊ะ

เรื่องแรก พี่ชายกับน้องชาย สองพี่น้องนี้อายุไล่เลี่ยกัน ใส่รองเท้าเบอร์เดียวกัน หลานก็รู้รองเท้าคู่นึงมันแพงขนาดไหน พี่ชายเพิ่งเรียนจบเริ่มทำงาน เงินก็มีไม่มาก ส่วนน้องชายกำลังเรียนอยู่ เงินยิ่งน้อยใหญ่

ที่สุดก็ตกลงกันได้ว่าทั้งคู่จะแบ่งกันออกเงินคนละครึ่ง เพื่อซื้อรองเท้าคู่หนึ่งและใช้ร่วมกัน พอซื้อรองเท้ามา พี่ชายก็ใส่ไปทำงานทั้งวัน ๖ โมงเช้า ถึง ๖ โมงเย็น

พอกลับมาบ้านน้องก็ไม่ยอม "อะไรออกเงินเท่ากันนี่น่า" น้องจึงใส่รองเท้า ๖ โมงเย็นถึง ๖ โมงเช้า ใส่ไปเล่นกีฬา เดินเล่น วิ่งเล่น

พอเช้าพี่ก็ใส่ ๖ โมงเช้าถึง ๖โมงเย็น เป็นเช่นนี้เรื่อยไปจนรองเท้าใกล้จะพัง พี่ชายจึงบอกกับน้องชายว่า "ดีจังเลย เรามาแชร์กันออกคนละครึ่งซื้ออีกคู่ดีไหม"

น้องชายจึงบอกว่า "ดีกะผีอะไร! ตั้งแต่ซื้อรองเท้ามายังไม่ได้หลับได้นอนเลย มัวแต่ไปใช้รองเท้าให้คุ้มกับที่จ่ายเงินไป" หลานๆ เคยเป็นเช่นนี้ไหม?

เรื่องที่สอง พ่อแม่มีลูก ๒ คน แต่รักคนพี่มาก มีอะไรให้พี่ก่อน เหลือจึงให้น้องไม่ว่าจะเป็นความรัก เสื้อผ้า อาหาร เงินทอง น้องได้ของเหลือจากพี่ทุกครั้ง ถ้าไม่เหลือก็อด น้องจึงอิจฉาพี่มาก

จึงวันหนึ่งพ่อบอกน้องว่า "วันนี้เป็นวันพิศษ จะให้น้องก่อน อยากได้อะไรให้น้องเลือกก่อนแล้วจะให้พี่ ๒ เท่า" น้องจึงขอไปคิดก่อน ๑ คืน ตื่นขึ้นมาไปบอกพ่อว่า

"คิดออกแล้ว คือ ขอให้ควักตาน้อง ๑ ข้าง" ที่สุดพ่อก็เลยจำใจต้องควักตาของน้อง ๑ ข้าง แล้วไปควักของพี่ ๒ ข้าง เห็นไหม? ยอมเจ็บเพื่อให้คนอื่นเจ็บมากกว่า นิยายจริงๆ เลย หลานๆ คงไม่เป็นแบบนี้แน่

เรื่องที่สาม ต้องอย่างนี้จ๊ะ ๒ พี่น้อง พ่อแม่แบ่งที่ดินให้เท่ากัน ต่างคนต่างทำมาหากินจนคืนหนึ่ง พี่ชายซึ่งมีเมีย ๑ คน ลูก ๔ คน ก็คือคิดว่า

"เรามีลูกมีเมียช่วยกันทำมาหากิน เจ็บไข้ไม่สบายก็มีคนช่วยดูแล แต่น้องเราอยู่คนเดียวไม่มีใครดูแล อย่ากระนั้นเลย คืนนี้เราทำอะไรดีกว่า" ว่าแล้วคืนนั้นพี่ก็ใส่โคเทียมเกวียนขนข้าวใส่จะเอาไปให้น้องชาย

ส่วนน้องชายก็คิดว่า "อันว่าเราตัวคนเดียว ปากเดียวท้องเดียวกินนิดเดียว ส่วนพี่ตั้ง ๕ ปาก ๕ ท้อง จะกินพอหรือ อย่ากระนั้นเลยแบ่งข้าวให้พี่ดีกว่า" ว่าแล้วก็เอาโคเทียมเกวียนเอาข้าวใส่

เกวียนทั้ง ๒ มาพบกันตรงบริเวณที่เหมาะในการสร้างวัดเลยจ๊ะ เพราะเป็นที่ที่อบอวลด้วยความรัก หลานๆ เห็นไหม? ความเท่าเทียมกันอยู่ที่ธรรมที่เท่ากัน การให้ที่แท้จริงจึงเป็นการให้ด้วยหัวใจจ๊ะ

ที่มา http://larndham.net/index.php?showtopic=24193&st=0

มองชีวิตคิดดี : ความสุข...คือที่นี่...คือเดี๋ยวนี้

ความสุข...คือที่นี่...คือเดี๋ยวนี้ (อ.ศริวรรณ เกษมศานต์กิดาการ)

สมัยที่ยังเรียนหนังสือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาสอบ เรายังจำได้ว่าพวกเราส่วนมากวางโครงการเอาไว้ว่า ปิดเทอมเราจะไปเที่ยวที่ไหน เราจะไปกับใคร เราจะไปกันอย่างไร เราจะไปกันอย่างไร

โครงการดังกล่าว คาดหวังความสุขในอนาคตไว้อย่างเต็มเปี่ยม เราจะทำโน่น ทำนี่ เราจะมีความสุขมาก

พอสอบเสร็จ แม้บางครั้งโครงการเป็นไปตามที่เราหวัง แต่แปลกที่ความสุขไม่ค่อยเป็นอย่างที่เราหวังเท่าไหร่ โครงการง่ายๆ เช่น การจะไปเที่ยวทะเลได้ดำเนินไป

แต่... แม้แต่ขณะเดินทาง เราไม่ได้มีความสุขเต็มที่นัก เราคาดหวังให้ถึงที่หมายเสียก่อน โดยในบางครั้งมองการเดินทางเป็นสิ่งน่าเบื่อหน่าย อย่าลืมว่ามีหลายครั้งที่เราเดินทางเป็นวันๆ นั่งอยู่ในรถอย่างเบื่อหน่ายอิดโรย คอยด้วยความหวังแต่จะให้ถึงที่หมาย

พอถึงที่หมาย เราอาจไปดื่มด่ำธรรมชาติ ๕ นาที ๑๐ นาที หรือมากกว่านั้น แต่แน่นอนต้องน้อยกว่าการใช้เวลาในการเดินทาง แล้วเราก็กลับมาเดินทางต่อ (อย่างเบื่อหน่าย)

ทำไมเราไม่มีความสุขเสียแต่เดี๋ยวนี้ ปัจจุบันนี้ ทำไมเราไม่ทำให้การเดินทาง การนั่งรถนั้น ไม่น่าเบื่อหน่าย ทำไมเราจะคิดไม่ได้ว่า ความสุขนั้นมันไม่ใช่จุดหมายปลายทางหรือสถานที่ที่เราคาดหมาย แต่มันคือที่นี่ และเดี๋ยวนี้ด้วย

คนเราคาดหวังอยู่ตลอดเวลาถึงอนาคต โดยบางครั้งได้มองข้ามปัจจุบันไปอย่างน่าเสียดาย เมื่อเรามองแต่อนาคต เราจึงละเลยในการเอาใจใส่ ถนอมรักปัจจุบัน มันถูกละเลย จนทำให้มันไร้คุณภาพไปในบางครั้ง

เมื่อชีวิตเรามีแต่การเตรียมการอย่างไม่รู้จบ เราเองก็จะไม่มีโอกาสที่จะมีความสุขความพอใจให้กับปัจจุบันได้อย่างเต็มอิ่ม เราอาจจะทำงานอย่างซังกะตาย เพื่อรอคอยวันสุดสัปดาห์ที่จะได้พักผ่อน แต่ถ้ามีเหตุฉุกเฉินให้ต้องทำงานในวันสุดสัปดาห์ล่ะ

เราสามารถเริ่มกันใหม่ โดยยอมรับและพอใจในแต่ละขณะ เราสามารถมีความสุขกับงานก็ได้ เที่ยวก็ได้ ทุกอย่างที่เรามีประสบการณ์ ความสุขอยู่ในตัวเรานี่เอง

ในวันที่ท้องฟ้าเป็นสีครามสดใส... นกร้องเพลง... ดอกไม้บาน เราอาจไม่มีความสุขก็ได้ แต่ในวันที่ฟ้าเป็นสีเทา... ไม่มีเสียงนกร้อง... ดอกไม้เหี่ยวเฉา เราอาจมีความสุข

เห็นไหม? ความสุขไม่ได้อยู่ที่ท้องฟ้า เสียงนกร้อง หรือดอกไม้

ความสุขอยู่ที่เรา มันอยู่ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ยังไม่สายที่จะสร้างความสุขขึ้นมา ที่นี่และเดี๋ยวนี่ เราสามารถจะมีความสุขปีใหม่ได้ทุกวัน

ที่มา: http://larndham.net/index.php?showtopic=24193&st=0

การดูจิต: ธรรมะเกี่ยวกับการดูจิตของหลวงพ่อชา

การศึกษาธรรมะในทางพระพุทธศาสนานั้น เราศึกษาไปเพื่อหาทางพ้นทุกข์ เพื่อความสงบสุขเป็นจุดสำคัญ จะศึกษาเรื่องรูป เรื่องนาม เรื่องจิต เรื่องเจตสิกก็ตาม ก็เพื่อความหลุดพ้นจากทุกข์เท่านั้น จึงจะถูกทาง มิใช่อย่างอื่น
สิ่งเหล่านี้ถ้าเราเข้าใจเสียว่า มันจะเป็นจิตก็ช่างมันเถอะ เมื่อมันนิ่งอยู่อย่างนี้ก็คือเป็นปกติของมัน ถ้าว่ามันเคลื่อนปุ๊บก็เป็นสังขารแล้ว มันจะเกิดยินดีก็เป็นสังขาร มันจะเกิดยินร้ายก็เป็นสังขาร มันอยากจะไปโน่นไปนี่ก็เป็นสังขาร ถ้าเราไม่รู้เท่าสังขาร ก็วิ่งตามมันไป เป็นไปตามมัน
เมื่อจิตเคลื่อนเมื่อใด ก็เป็นสมมติสังขารเมื่อนั้น ท่านจึงให้พิจารณาสังขาร คือ จิตมันเคลื่อนไหวนั่นเอง เมื่อมันเคลื่อนออกไปก็เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

เมื่อผู้รู้ รู้ตามความเป็นจริงของจิต หรือเจตสิกเหล่านี้ จิตก็ไม่ใช่เรา สิ่งเหล่านี้มีแต่ของทิ้งทั้งหมด ไม่ควรเข้าไปยึด ไปหมายมั่นทั้งนั้น

เหมือนกับตะเกียงเป็นตัวผู้รู้ แสงสว่างของตะเกียง มันจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน มันเกิดจากผู้รู้อันนี้ ถ้าจิตนี้ไม่มี ผู้รู้ก็ไม่มีเช่นกัน มันคืออาการของพวกนี้
ฉะนั้น สิ่งเหล่านี้รวมแล้วเป็นนามหมด ท่านว่าจิตนี้ก็ชื่อว่าจิต มิใช่สัตว์ มิใช่บุคคล มิใช่ตัว มิใช่ตน มิใช่เรา มิใช่เขา ธรรมนี้ก็สักว่าธรรม มิใช่ตัวตนเราเขา ไม่เป็นอะไร ท่านให้เอาที่ไหน เวทนาก็ดี สัญญาก็ดี สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ล้วนแต่เป็นขันธ์ห้า ท่านให้วาง

สิ่งทั้งหลายที่จิตคิดไปทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านี้ ล้วนเป็นสังขารทั้งหมด เมื่อรู้แล้วท่านให้วาง เมื่อรู้แล้วท่านให้ละ ให้รู้สิ่งเหล่านี้ตามความเป็นจริง ถ้าไม่รู้ตามความเป็นจริงก็ทุกข์ ก็ไม่วางสิ่งเหล่านี้ได้ เมื่อรู้ตามความเป็นจริงแล้ว สิ่งเหล่านี้ก็เป็นของหลอกลวง สมกับที่พระศาสดาตรัสว่า
จิตนี้ไม่มีอะไร ไม่เกิดตามใคร ไม่ตายกับใคร จิตเป็นเสรี รุ่งโรจน์โชติการ ไม่มีเรื่องราวต่างๆ เข้าไปอยู่ในที่นั้น ที่จะมีเรื่องราวก็เพราะมันหลงสังขารนี่เอง หลงอัตตานี่เอง
พระศาสนดาจึงให้มองดูจิตของเรา เบื้องแรกมันมีอะไร ไม่มีอะไรจริงๆ สิ่งเหล่านี้มิได้เกิดด้วย มิได้ตายด้วย ถูกอารมณ์ดีมากระทบก็มิได้ดีด้วย ถูกอารมณ์ร้ายมากระทบก็มิได้ร้ายไปด้วย เพราะรู้ตัวของตัวอย่างชัดเจน
รู้ว่าสภาวะเหล่านั้นไม่เป็นแก่นสาร ท่านเห็นเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

ตัวผู้รู้นี้ รู้ตามความเป็นจริง ผู้รู้มิได้ดีใจไปด้วย มิได้เสียใจไปด้วย อาการที่ดีใจไปด้วยนั่นแหละเกิด อาการที่เสียใจไปด้วยนั่นแหละตาย ถ้ามันตายก็เกิด ถ้ามันเกิดก็ตาย ตัวที่เกิดที่ตายนี่แหละ เป็นวัฏฏะ เวียนว่ายตายเกิดอยู่ไม่หยุด
เมื่อจิตผู้ปฏิบัติเป็นอยู่อย่างนั้น ไม่ต้องสงสัย ภพมีไหน ชาติมีไหม ไม่ต้องถามใคร พิจารณาอาการสังขารเหล่านี้แล้วจึงได้ปล่อยวางสังขาร วางขันธ์เหล่านี้ เป็นเพียงผู้รับทราบไว้เฉยๆ มันจะดีขึ้นมา ท่านก็ไม่ดีกับมัน เป็นคนดูอยู่เฉยๆ ถ้ามันร้ายขึ้นมา ท่านก็ไม่ร้ายกับมัน เพราะมันขาดจากปัจจัยแล้ว

เมื่อรู้ตามความเป็นจริง ปัจจัยที่จะส่งเสริมให้เกิดไม่มี

เมื่อถูกอารมณ์ที่ไม่ชอบใจมากระทบ มันก็เกิดเป็นอาการขึ้นกับใจเรา เราติดมันไหม เราวางมันได้ไหม อาการที่ไม่ชอบใจนั้นเกิดขึ้นมา เรารู้แล้ว ผู้รู้เอาความไม่ชอบไว้ในใจหรือเปล่า หรือว่าเห็นแล้ววาง
ถ้าเห็นสิ่งที่ไม่ชอบใจแล้วยังเอาไว้ในใจของเรา ให้เรียนใหม่ เพราะยังผิดอยู่ ยังไม่ยิ่ง ถ้ามันยิ่งแล้วมันวาง ให้ดูอย่างนี้

เรื่องการปฏิบัติน้จึงสำคัญมาก ดูผู้รู้นี่แหละ ถ้ามันคิดชัง ทำไมถึงชัง ถ้ามันรัก ทำไมถึงรัก จะเป็นจิตหรือเจตสิกก็ไม่รู้ จึ้เข้าตรงนี้ จึงแก้เรื่องที่มันรักหรือชังนั่น ให้หายออกจากใจได้
จะเป็นอะไรก็ตาม ถ้าทำจิตให้หยุดรักหรือหยุดชังได้ จิตก็พ้นจากทุกข์แล้ว จะเป็นอะไรก็ช่าง มันสบายแล้ว ไม่มีอะไร มันก็หยุด

เมื่อ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ หรือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ เกิดขึ้นมาบ่อยๆ ได้พิจารณาบ่อยๆ ด้วยอาการที่เราตั้งใจมิได้เผลอ จึงรู้อาการของสิ่งเหล่านี้ว่า มันเกิดตามความเป็นจริงของมัน เมื่อรู้เรื่อยๆ ไป ก็เกิดปัญญา เมื่อรู้ตามความเป็นจริง ตามสภาวะของมัน สัญญาจะหลุด เลยกลายเป็นตัวปัญญา จึงเป็นศีล สมาธิ ปัญญา รวมเป็นอันเดียวกัน

ถ้าปัญญากล้าขึ้น ก็อบรมสมาธิให้มั่นขึ้นไป เมื่อสมาธิมั่นขึ้นไป ศีลก็มั่นก็สมบูรณ์ยิ่งขึ้น เมื่อศีลสมบูรณ์ขึ้น สมาธิก็กล้าขึ้นอีก เมื่อสมาธิกล้าขึ้น ปัญญาก็กล้ายิ่งขึ้น สามอย่างนี้เป็นไวพจน์ซึ่งกันและกัน

ต้นกะบกต้นนี้ใบเป็นอย่างไร หยิบมาดูใบเดียวเท่านั้นก็เข้าใจได้แล้ว มันมีสักหมื่นใบก็ช่างมัน ใบกะบกเป็นอย่างนี้ ดูใบเดียวเท่านี้ ใบอื่นก็เหมือนกันหมด ถ้าจะดูลำต้นกะบกต้นอื่น ดูต้นเดียวก็จะรู้ได้หมด ดูต้นเดียวเท่านั้น ต้นอื่นก็เหมือนกัน ถึงมันจะมีแสนต้นก็ตาม เข้าใจต้นเดียวเท่านั้นก็พอแล้ว

ศีลก็ดี สมาธิก็ดี ปัญญาก็ดี สิ่งทั้งสามประการนี้ท่านเรียกว่ามรรค อันมรรคนี้ยังมิใช่ศาสนา อีกซ้ำยังไม่ใช่สิ่งที่พระศาสดาต้องการอย่างแท้จริง แต่เป็นหนทางที่จะดำเนินเข้าไป เหมือนที่ท่านมาจากกรุงเทพฯ จะมาวัดหนองป่าพง ท่านคงไม่ต้องการหนทาง ท่านต้องการถึงวัดต่างหาก แต่หนทางเป็นสิ่งจำเป็นแก่ท่านที่จะต้องมา
ฉะนั้น ถนนที่ท่านมานั้น มันไม่ใช่วัด มันเป็นเพียงถนนมาวัดเท่านั้น แต่ก็จำเป็นต้องมาตามถนน จึงจะมาถึงวัดได้ ศีลก็ดี สมาธิก็ดี ปัญญาก็ดี ถ้าจะพูดว่านอกศาสนา แต่ก็เป็นถนนเข้าไปถึงศาสนา

เมื่อคราวปฏิบัตินั้น มีความสงสัยอยู่ว่า สมาธิเป็นอย่างไรหนอ คิดหาไป นั่งสมาธิไป จิตยิ่งฟุ้ง ยิ่งคิดมาก เวลาไม่นั่งค่อยยังชั่ว แหม มันยากจริงๆ ถึงยากก็ทำไม่หยุด ทำอยู่อย่างนั้น ถ้าอยู่เฉยๆ แล้วสบาย เมื่อตั้งใจว่าจะทำให้จิตเป็นหนึ่งยิ่งเอาใหญ่ มันยังไงกัน ทำไมจึงเป็นอย่างนี้
ต่อมาจึงคิดได้ว่า มันคงเหมือนลมหายใจเรานี้กระมัง ถ้าว่าจะตั้งให้หายใจน้อย หายใจใหญ่ หรือให้มันพอดี ดูมันยากมาก แต่เวลาเดินอยู่ ไม่รู้ว่าหายใจเข้าออกตอนไหน ในเวลานั้นดูมันสบายแท้ จึงรู้เรื่องว่า อ้อ อาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้ เวลาเราเดินไปตามปกติมิได้กำหนดลมหายใจ มีใครเคยเป็นทุกข์ ถึงลมหายใจไหม? ไม่เคย มันสบายจริงๆ
ถ้าจะไปนั่งตั้งใจเอาให้มันสงบ มันก็เลยเป็นอุปทานยึดใส่ ตั้งใส่ หายใจสั้นๆ ยาวๆ เลยไม่เป็นอันกำหนด จิตเกิดมีทุกข์ยิ่งกว่าเก่า เพราะอะไร? เพราะความตั้งใจของเรากลายเป็นอุปทานเข้าไปยึด เลยไม่รู้เรื่อง มันลำบาก เพราะว่าเราเอาความอยากเข้าไปด้วย

สมาธิไม่ต้องเท่าไหร่ ดูอาการภายนอกเลย ดูเหตุผล พิจารณาเรื่อยไป เราเอาความสงบนี้มาพิจารณา รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ที่มากระทบ แม้จะดี จะชั่ว สุข ทุกข์ ทั้งหลายทั้งปวง
เหมือนกับคนขึ้นต้นมะม่วงแล้วเขย่าลูกหล่นลงมา เราอยู่ใต้ต้นมะม่วงคอยเก็บเอา ลูกไหนเน่าเราไม่เอา เอาแต่ลูกที่ดีๆ ไม่เปลืองแรง เพราะว่าไม่ได้ขึ้นต้นมะม่วง คอยเก็บอยู่ข้างล่างเท่านั้น
ข้อนี้หมายความว่าอย่างไร อารมณ์ทั้งหลายทั้งปวงเกิดมา เอาความรู้มาให้เราหมด มิได้ไปปรุงแต่งมัน ลาภ ยศ นินทา สรรเสริญ สุข ทุกข์ มันมาเอง เรามีความสงบ มีปัญญา สนุกเฟ้น สนุกเลือกเอา ใครจะว่าดี ว่าชั่ว ว่าร้าย ว่าโน่นว่านี่ ต่างๆ นานา ล้วนแล้วแต่เป็นกำไรของเราหมด เพราะมีคนเขย่าให้มะม่วงหล่นลงมา เราก็สนุกเก็บเอา ไม่กลัว จะกลัวทำไม มีคนขึ้นเขย่าลงมาให้เรา ลาภก็ดี ยศก็ดี สรรเสริญ นินทา สุข ทุกข์ ทั้งหลายทั้งปวง เหล่านี้เปรียบเหมือนมะม่วงหล่นลงมาหาเรา เราเอาความสงบมาพิจารณาเก็บเอา
เรารู้จักแล้ว ลูกไหนดี ลูกไหนเน่า เมื่อเริ่มพิจารณาสิ่งเหล่านี้ อาการที่พิจารณาออกจากความสงบเหล่านี้ เรียกว่าปัญญา เป็นวิปัสสนา ไม่ได้แต่งมัน ถ้ามีปัญญา มันเป็นของมันเอง ไม่ต้องไปตั้งชื่อมัน
ถ้ามันรู้แจ้งน้อย ก็เรียกว่า วิปัสสนาน้อย ถ้ามันรู้อีกขนาดหนึ่ง ก็เรียกว่า วิปัสสนากลาง ถ้ามันรู้ตามความเป็นจริง ก็เรียกว่า วิปัสสนาถึงที่สุด

เมื่อเราทำไปถึงขั้นนี้แล้ว เราก็ปล่อยตามบุญวาสนาบารมีของเรา แต่เราไม่หยุดทำความเพียร จะช้าหรือเร็ว เราบังคับไม่ได้ เหมือนปลูกต้นไม้ มันจะรู้จักของมัน มันอยากเร็วก็รู้ว่ามันหลง มันอยากช้าก็รู้ว่ามันหลง เมื่อทำแล้วมันจึงเกิดผลขึ้นมา
เหมือนเราปลูกต้นไม้ เช่น ปลูกพริกต้นนี้ หน้าที่ของเราคือขุดหลุมปลูก ให้น้ำ ให้ปุ๋ย ป้องกันแมลงให้มันเท่านั้น นี่เรื่องของเรา นี่เรื่องศัทธาของเรา ส่วนต้นพริกจะโตก็เป็นเรื่องของมัน ไม่ใช่เรื่องของเรา จะไปดึงให้มันยืดขึ้นมาก็ไม่ได้ ผิดเรื่อง เราต้องให้น้ำ เอาปุ๋ยใส่ให้

ถ้าเราปฏิบัติอย่างนี้ก็จะสบาย จะถึงชาตินี้ก็ช่าง ถึงชาติหน้าก็ตาม เรามีศรัทธาอย่างนี้แล้ว มีความรู้สึกแน่นอนแล้วอย่างนี้ จะเร็วหรือช้านั้น เป็นเรื่องของบุญวาสนาบารมีของเรา ทีนี้ก็รู้สึกสบาย เหมือนขับรถม้า ก็มิได้เอารถไปก่อนม้า แต่ก่อนมันเอารถไปก่อนม้า ถ้าไถนาก็เดินก่อนควาย หมายความว่าใจมันเร็วมาก ร้อนมาก ทีนี้ไม่เป็นอย่างนั้น ไม่เดินก่อน ต้องเดินตามหลังควาย
ถ้าเอาน้ำให้กิน เอาปุ๋ยให้กิน กินไปเถอะ มดปลวกมาข้าจะไล่ให้เจ้า เท่านั้แหละต้นพริกต้นนี้มันก็จะงามขึ้นเอง เมื่อมันงามแล้วเราจะบังคับว่า แกต้องเป็นดอกเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่เรื่องของเรา อย่าทำ เราจะเป็นทุกข์เปล่าๆ มันจะเป็นของมันเอง เมื่อมันเป็นดอกแล้ว เราจะให้เป็นเม็ดเดี๋ยวนี้ อย่าไปบังคับมัน ทุกข์จริงๆ นา ทุกข์จริงๆ เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว เรารู้จักหน้าที่ของเรา ของเขา หน้าที่ของใครของมัน จิตก็จะรู้หน้าที่การงาน ถ้าจินไม่รู้หน้าที่การงาน ก็จะไปบังคับต้นพริกให้มีผลในวันนั้นเอง ให้มันโตเป็นดอกเป็นผลขึ้นในวันนั้น นั่นล้วนแต่เป็นตัวสมุทัย เหตุให้ทุกข์เกิดขึ้นมาทั้งนั้น ถ้ารู้อย่างนี้ คิดอย่างนี้ รู้ว่ามันหลง มันผิด รู้อย่างนี้แล้วก็ปล่อย ให้เป็นเรื่องบุญวาสนาบารมีต่อไป
เราทำของเราไป ไม่ต้องกลัวว่าจะนาน ร้อยชาติ พันชาติก็ช่างมัน จะชาติไหนก็ตาม ปฏิบัติสบายๆ นี่แหละ

พวกญาติโยมถึงปฏิบัติอยู่บ้าน ก็พยายามให้มีศีล 5 กาย วาจา ของเราพยามให้เรียบร้อย พยายามดีๆ เถอะ ค่อยทำค่อยไป

การทำสมถะนี่ อย่านึกว่าไปทำครั้งหนึ่งสองครั้งแล้ว มันไม่สงบก็เลยหยุด ยังไม่ถูก ต้องทำนานอยู่นะ ทำไมถึงนาน คิดดูสิเราปล่อยมากี่ปี เราไม่ได้ทำ มันว่าไปทางโน้นก็วิ่งตามมัน มันว่าไปทางนี้ก็วิ่งตามมัน ทีนี้จะหยุดให้มันอยู่เท่านี้ เดือนสองเดือนจะให้มันนิ่ง มันก็ยังไม่พอ คิดดูเถิด
การปฏิบัตินั้นให้พยายามทำ มันจะสงบหรือไม่สงบก็ช่าง ปล่อยไว้ก่อน เราเรื่องเราปฏิบัติเป็นเรื่องแรก เอาเรื่องเราได้สร้างเหตุนี้แหละ ถ้าทำแล้ว ผลจะเป็นอย่างไรก็ได้ เราได้ทำแล้ว อย่ากลัวว่าจะไม่ได้ผล มันไม่สงบ เราได้ทำแล้ว
ถ้าจะนั่งสมาธิ อย่าคิดมาก ถ้าอยากให้มันเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ หยุดดีกว่า

เวลานั่งสมาธิเราตั้งใจว่า "เอาละ จะเอาให้มันแน่ๆ ดูที" เปล่า! วันนั้นไม่ได้เรื่องเลย แต่คนเราชอบทำอย่างนั้น บางคืนพอเริ่มนั่งก็นึกว่า เอาละวันนี้อย่างน้อยตีหนึ่งจึงจะลุก คิดอย่างนี้ไม่นานหรอก เวทนามันรุมเอาเกือบตาย
มันจะดีเวลานั่งโดยไม่ต้องกะต้องเกณฑ์ ไม่มีที่จุดที่หมาย ทุ่มหนึ่ง สองทุ่ม สามทุ่ม ก็ช่างมัน นั่งไปเรื่อยๆ วางเฉยไว้ อย่าบังคับมัน อย่าไปหมายมั่น อย่าไปบังคับหัวใจว่า จะเอาให้มันแน่ๆ มันก็ยิ่งไม่แน่ ให้เราวางใจสบายๆ หายใจก็ให้พอดี อย่าเอาสั้น เอายาว อย่าไปแต่งมัน กายก็ให้สบาย ทำเรื่อยไป
มันจะถามเราว่า จะเอากี่ทุ่ม จะเอานานเท่าไหร่ มันมาถามเรื่อย เราต้องตวาดมัน "เฮ้ย อย่ามายุ่ง" ต้องปราบมันไว้เสมอ เพราะพวกนี้มีแต่กิเลส มากวนทั้งนั้น อย่าเอาใจใส่มัน ต้องตัดมันไว้อย่างนี้ แล้วเราก็นั่งเรื่อยไป ตามเรื่องของเรา วางใจสบาย ก็เลยสงบ

ถ้าเราทำภาวนา อย่าให้กิเลตัณหามันรู้เงื่อนรู้ปลายได้

จิตของเราก็เหมือนควาย อารมณ์คือต้นข้าว ผู้รู้ก็เหมือนเจ้าของ ควายจะต้องกินต้นข้าว ต้นข้าวเป็นของที่ควายจะกิน เวลาเราไปเลี้ยงควาย ทำอย่างไร ปล่อยมันไป แต่เราพยายามดูมันอยู่ ถ้ามันเดินไปใกล้ต้นข้าว เราก็ตวาดมัน ควายได้ยินก็จะถอยออก แต่เราอย่าเผลอนะ ถ้ามันดื้อไม่ฟังเสียง ก็เอาไม้ค้อนฟาดมัน มันจะได้กินต้นข้าวหรือ แต่เราอย่าไปนอนหลับกลางวันก็แล้วกัน ถ้าขืนนอนหลับ ต้นข้าวหมดแน่ๆ

เราการปฏิบัติก็เช่นกัน เมื่อเราดูจิตของเราอยู่ ผู้รู้ดูจิตเจ้าของ ผู้ใดที่ตามดูจิต ผู้นั้นจักพ้นจากบ่วงมาร
จิตอันหนึ่ง ผู้รู้อันหนึ่ง รู้ออกมาจากจิตนั่นแหละ ผู้รู้จะตามดูจิต ผู้รู้นี้จะเกิดปัญญา จิตนั้นคือความนึกคิด ถ้าพบอารมณ์นั้นก็แวะไป ถ้าพบอารมณ์อีกมันก็แวะไปอีก มันเข้าจับทันที เหมือนกับควายนั่นแหละ
เมื่อมันเข้าจับ ผู้รู้ต้องสอนต้องพิจารณา จนมันทิ้ง อย่างนี้จึงสงบได้ จับอะไรมาก็มีแต่ของไม่น่าเอา มันก็หยุดเท่านั้น มันก็ขี้เกียจเหมือนกัน เพราะมีแต่ถูกด่าถูกว่าเสมอ ทรมานมันเข้า ทรมานเข้าไปถึงจิต หัดมันอยู่อย่างนี้แหละ

เขาว่าเราทำผิด แต่เราไม่ผิดดังเขาว่า เขาพูดไม่ถูก ก็ไม่รู้จะไปโกรธเขาทำไม เพราะเขาพูดไม่ถูกตามความจริง ถ้าเราผิดดังเขาว่า ก็ถูกดังเขาว่าแล้ว ไม่รู้จะไปโกรธเขาทำไมอีก ถ้าคิดได้ดังนี้ รู้สึกว่าสบายจริงๆ มันเลยไม่มีอะไรผิด ล้วนแต่เป็นธรรมทั้งหมด
อาตมาปฏิบัติอย่างนี้ ถ้าปฏิบัติอย่างนี้มันลัดตรงจริงๆ

เราจะไม่เอาใจใส่ทั้งความสุข และความทุกข์ จะวางมัน สัมมาปฏิปทา ต้องเดินสายกลาง
สงบจากความสุข ความทุกข์ ความดีใจ เสียใจ นี้คือลักษณะปฏิบัติ ถ้าใจเราเป็นอย่างนี้แล้ว หยุดได้ หยุดถามได้ ไม่ต้องไปถามใคร

ต้องเป็นผู้ละ พูดจาน้อย มักน้อย เป็นคนละทิฏฐิมานะทั้งหลายทั้งปวง คนพูดผิดก็ฟังได้ คนพูดถูกก็ฟังได้หมด

ดูจิตดูใจเรา คล้ายๆ กับว่า จิตมันวางเป็นปกติ ถ้ามันเคลื่อนออกจากปกติ เช่น มันคิดมันนึกต่างๆ นั่นเป็นสังขาร สังขารนี้มันจะปรุงเราต่อไป ระวังให้ดี ให้มันรู้ไว้ ถ้ามันเคลื่อนออกจากปกติแล้ว ไม่เป็นสัมมาปฏิปทาหรอก

อาตมาเห็นว่าจิตนี้เหมือนกับจุดๆ เดียวเท่านั้น อันที่เรียกว่าเจตสิกนั่นเป็นแขก แขกมาพักอยู่ตรงนี้ คนนั้นมาเยี่ยมเราบ้าง คนโน้นมาเยี่ยมเราบ้าง มาพักอยู่ตรงนี้ เราจึงเรียกพวกนั้น ที่ออกจากจิตของเรามา เป็นเจตสิกหมด
ทีนี้เรามาทำจิตของเราให้เป็นผู้รู้ ตื่นอยู่ คอยรักษาจิตของเราอยู่ ถ้าแขกมาเมื่อไหร่ โบกมือห้าม มันจะมานั่งที่ไหน มีที่นั่งที่เดียวเท่านั้น เราก็พยายามรับแขกอยู่ตรงนี้ตลอดวัน
พูดถึงอาคันตุกะ แขกที่จรมาปรุงมาแต่งต่างๆ นานา ให้เราเป็นไปตามเรื่องของมัน อาการของจิตที่เป็นไปตามเรื่องของมัน นี่แหละเรียกว่า เจตสิก มันจะเป็นอะไร จะไปไหนก็ช่างมัน ให้เรารู้จักอาคันตุกะที่มาพัก ที่รักแขกมีเก้าอี้ตัวเดียวเท่านั้นเอง เราเอาผู้หนึ่งไปนั่งไว้แล้ว มันก็ไม่มีที่นั่ง มันมาที่นี่ มันก็จะมาพูดกับเรา ครั้งนี้ไม่ได้นั่ง ครั้งต่อไปก็จะมาอีก มาเมื่อไหร่ก็พบแต่ผู้นี้นั่งอยู่ ไม่หนีสักที มันจะทนมากี่ครั้ง

ไฟอยู่บ้านเขา ไปจับมันก็ร้อน ไฟอยู่บ้านเรา ไปจับมันก็ร้อนเหมือนกัน

ถาม ผมได้พากเพียรอย่างหนักในการปฏิบัติกรรมฐาน แต่ยังไม่มีที่ท่าว่าจะได้ผลคืบหน้าเลย

ตอบ เรื่องนี้สำคัญมาก อย่าพยายามที่จะเอาอะไรๆ ในการปฏิบัติ ความอย่างแรงกล้าที่จะหลุดพ้นหรือรู้แจ้งนั้นจะเป็นความอยากที่ขวางกั้นท่านก็ได้ จะเร่งความเพียรทั่งกลางคืนกลางวันก็ได้ แต่ถ้าการฝึกปฏิบัตินั้นยังประกอบด้วยความที่อยากจะบรรลุเห็นแจ้งแล้ว ท่านจะพบความสงบไม่ได้เลย แรงอยากจะเป็นเหตุให้เกิดความสงสัยและความกระวนกระวายใจ ไม่ว่าท่านจะฝึกปฏิบัตินานเท่าใดหรือนานสักเพียงใด ปัญญา (ที่แท้) จะไม่เกิดขึ้นจากความอยากนั้น ดังนั้นจงเพียงแต่ละความอยากเสีย จงเฝ้าดูจิตและกายอย่างมีสติแต่อย่ามุ่งหวังที่จะบรรลุถึงอะไร อย่ายึดมั่นถือมั่นแม้ในเรื่องการฝึกปฏิบัติหรือในการรู้แจ้ง

ที่มา http://larndham.net/index.php?showtopic=24208&st=0