Monday, January 15, 2007

เด็กข้างถนน : โดย ท.เลียงพิบูลย์ 6

ชายแปลกหน้าหัวเราะชอบใจพูดว่า “เออ ให้มันได้อย่างนั้นซิวะอ้ายน้องชาย ข้าเอ็งก็ไม่มีญาติพี่น้องเหมือนกัน มาเราไปอยู่ด้วยกัน ข้าจะเลี้ยงดูเอ็งให้เหมือนน้องข้า” ผมบอกว่า “ขอบคุณครับ พี่ ผมจะไปบอกเจ้าของร้านเขาก่อน” ชายแปลกหน้าตบหลังผมเบาๆ แสดงความกรุณาแล้วพูดว่า “เอ็งมันเป็นเด็กเรียบร้อยกว่าเด็กที่อยู่ในฐานะเดียวกัน ที่ข้าเคยพบมา ไม่ต้องไปบอกเจ้าของร้านก็ได้นี่วะ” ผมจึงว่า “ขอให้ผมไปบอกเขาก่อนดีกว่าครับ เพราะยายผมเคยสอนไว้ว่า จะไปให้ลา จะมาให้ไหว้ และผมนับถือว่าเขาเป็นผู้มีบุญคุณ ที่ได้ให้งานผมทำ” ชายแปลกหน้าหัวเราะอย่างอารมณ์ดีแล้วก็ตอบว่า “เออ ตามใจเอ็ง ข้าคิดว่ายายของเอ็งนี่แกเป็นคนดี ข้าชักจะนับถือยายเอ็งขึ้นมาแล้ว” ต่อจากนั้นผมก็ไปลาเจ้าของร้านอาหารที่ผมเคยทำงาน เมื่อเขารู้ว่าผมจะลาออก เจ้าของร้านก็เสียดายผมมาก และพยายามชี้แจงว่าแกรักผมเหมือนลูกหลาน ไม่คิดว่าเป็นลูกจ้าง ขอให้ผมอยู่ช่วยแกต่อไป ไม่อยากให้ผมออก เมื่อผมบอกว่าผมได้งานที่อื่นแล้ว แกเสียใจและสั่งว่า หากทำที่อื่นไม่สบายก็ขอให้กลับมาอยู่ด้วยกันใหม่ แกยินดีรับผมเสมอ จากนั้นผมก็ลาเจ้าของร้านที่ใจดีและมีความรักอาลัยผมซึ่งผมไม่อาจลืมได้ จากนั้นผมก็ได้มาอยู่กับชายแปลกหน้า ซึ่งผมไม่เคยรู้จักมาก่อนว่าชายคนนี้เป็นใครทำงานอะไร การที่ผมมาอยู่ด้วยก็เพราะเห็นเป็นผู้มีพระคุณได้ช่วยชีวิตผมไว้ สิ่งที่แปลกใจสำหรับผมก็อยู่ที่คนแปลกหน้ามาหาพี่บ่อยๆ แต่บางวันบางคืนก็ไม่มีใครมาเลย และบางเวลาชายแปลกหน้าก็หายหน้าไปหลายวันหลายคืน ได้ทราบว่ามีบ้านอยู่หลายแห่ง ส่วนบ้านที่ผมอยู่นั้นนอกจากผมแล้วยังมีเด็กรุ่นเดียวกันอีกคนหนึ่งชื่อ “แดง” ชีวิตของแดงน่าสงสารมาก แกเล่าให้ผมฟังว่า ชีวิตของแกได้รับความลำบาก และได้รับความกระทบกระเทือนในความรู้สึกเพราะพ่อกับแม่แยกกันอยู่ พ่อก็ไปมีเมียใหม่ แม่ก็ไปมีผัวใหม่ต่างก็ไม่สนใจในเรื่องลูก แกก็ไม่รู้จะไปอยู่กับพ่อหรือแม่ดี แกเป็นเด็กที่น่าสงสารมาก เมื่อไปหาพ่อๆ ก็ไล่ให้ไปอยู่กับแม่ กลัวจะไปทำความรำคาญให้เมียใหม่ ไม่ยอมให้ลูกอยู่ด้วย ครั้นพอไปหาแม่ แม่ไล่ไปหาพ่อเพราะแม่อยากเอาใจผัวใหม่ ที่สุดก็หมดที่พึ่งหมดความอบอุ่นต้องพเนจรไปตามลำพัง เป็นเด็กมีกรรม ต้องอดๆ อยากๆ เพราะพ่อแม่แตกกันไปคนละทาง ลูกยังไม่เดียงสาต้องรับบาป ได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจมากหมดความสุขเหมือนเด็กรุ่นเดียวกันที่ควรมี ไม่มีที่อยู่อาศัยต้องเที่ยวเป็นเด็กข้างถนน ไปพบเด็กจรจัดด้วยกันก็พากันไปนอนตามวัดหรือตามใต้สะพานท่าน้ำ บางครั้งดึกๆ ก็มีตำรวจเข้าไปไล่ต้อนจับ ต้องวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนหลบหลีกไปในกลางดึก เช้าขึ้นก็ไปเที่ยวขอทานอาหารเขากิน ไม่มีอนาคต กลางคืนก็นอนไม่เต็มที่ ต่อมาก็พบชายแปลกหน้าชักชวนให้มาอยู่ด้วย พอจะได้รับความสุขสบายบ้างพอกินอิ่มนอนหลับ เราได้เล่าความทุกข์ยากสู่กันฟัง ที่สุดผมก็รู้ว่าชายแปลกหน้าที่ผมมาอยู่ด้วยคือ สลัดดำ หากินในทางทุจริต มีชื่อเสียงในทางจี้ปล้น ผมรู้สึกตัวว่าได้เข้ามาอยู่ในหมู่คนชั่วเสียแล้ว ผมจะทำอย่างไรดี ที่นั่นมีข้อบังคับว่า ทุกอย่างที่เป็นความลับถ้าใครนำไปบอกกับคนภายนอกถือเป็นการทรยศต่อพวก มีโทษร้ายแรงถึงตาย เพราะฉะนั้นจึงไม่มีใครกล้าทรยศ เมื่อผมได้รู้ความจริงเข้าเช่นนี้ก็ไม่มีความสบายใจ ยังจำคำของท่านสมภารที่ให้คติเหมือนคาถาประจำตัวว่า “พบคนชั่วให้หลีกหนี พบคนดีให้เข้าหา” แต่สลัดดำก็มีบุญคุณกับผม ถ้าผมหนีก็เท่ากับผมเป็นคนเนรคุณ ผมคิดไม่ตกตัดสินใจไม่ถูก ก็พอดีได้ทราบว่าพี่สลัดดำมีแผนการที่จะเข้าโจรกรรมในบ้านของท่าน ผมตกใจมาก เพราะท่านเป็นผู้มีพระคุณต่อผมมาก และท่านก็เป็นคนดีไม่ใช่คนชั่วเหมือนสลัดดำ ผมจึงเลือกที่จะช่วยท่านให้พ้นภัยจากการโจรกรรมครั้งนี้ เพราะผมตัดสินใจในระหว่างคนดีกับคนชั่ว ซึ่งเป็นคนที่มีบุญคุณต่อผมมาทั้งคู่ ผมเลือกที่จะช่วยคนดี โชคเข้าข้างผม เพราะสลัดดำได้ใช้ให้ผมนำความลับมาแนะนำให้แน่นอนกับคนใช้ที่บ้านของท่าน ซึ่งเป็นสายลับของพวกคนร้าย สลัดดำไว้ใจผมมาก ผมจึงมีโอกาสได้มาแอบกระซิบบอกให้ท่านทราบถึงเหตุการณ์ อันนี้แหละครับ เรื่องของผมก็มีเท่านี้” เมื่อผมได้ยินเรื่องราวที่แกเล่าให้ฟัง ยิ่งทำให้ผมรู้สึกสงสารจับใจ และนึกรักเอ็นดูเด็กคนนี้มากขึ้น ผมจึงถามว่า “ทำไมเธอจึงไม่มาหาฉันเลย ทั้งๆ ที่ฉันอยากจะพบอยู่เสมอ เธอเองก็ทำบุญคุณไว้กับฉันมากมาย โดยบอกให้ฉันรู้ล่วงหน้า เป็นการช่วยรักษาทรัพย์สินของฉัน ไม่ให้ถูกโจรกรรม ถ้าเธอไม่บอกฉันก็ไม่รู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะเป็นอย่างไร อาจเสียทั้งทรัพย์สินและเลือดเนื้อ เพราะฉะนั้น ฉันจึงอยากพบเธอมากเพื่อหวังจะตอบแทนความดีของเธอ” เด็กหนุ่มตอบผมด้วยใบหน้าเศร้าว่า “ผมไม่อยากจะให้ท่านคิดมากไปว่า ผมทำเพื่อสินจ้างรางวัล การที่ทำไปก็เพราะท่านเคยมีบุญคุณต่อผมและท่านเป็นคนดี ผมจึงต้องยอมให้เขาตราหน้าว่าเป็นคนเนรคุณพี่สลัดดำ ทั้งๆ ที่เขาก็มีบุญคุณกับผมเหมือนกัน แต่เขาเป็นคนชั่วเป็นคนนอกกฎหมาย ผมจึงตัดสินใจดังที่ท่านทราบมาแล้ว” พูดแล้วเด็กหนุ่มทำหน้าเศร้าๆ จะร้องไห้ ผมจึงปลอบไปว่า “เธออย่าคิดมากไปเลย บุญคุณเป็นเรื่องส่วนตัว ส่วนความชั่วเป็นเรื่องส่วนรวม เท่าที่ทำไปก็เป็นการกระทำที่ถูกต้อง เธอต้องเป็นพลเมืองดี เพราะคนชั่วมีความประพฤติเป็นภัยต่อสังคมส่วนรวม เธอได้ทำความดีไม่ใช่แต่ฉันคนเดียวเท่านั้น แต่เพื่อคนอื่นๆ ซึ่งอาจเป็นเหยื่อรายต่อไปก็ได้ ถ้าไม่จับกุมไปลงโทษเสียก่อน จะทำให้คนสุจริตนอนตาไม่หลับ การกระทำของเธอครั้งนี้ เธอควรจะได้รับการยกย่องไม่มีใครเขาติเตียนเธอ อย่าคิดมากไปเลย” เด็กหนุ่มทำหน้าไม่สบายพูดต่อไปว่า “ถึงเช่นนั้นผมก็อดคิดไม่ได้” ผมจึงบอก “เธอหยุดคิดได้แล้ว ฉันพร้อมที่จะให้เธออยู่ด้วย และไม่ยอมให้เธอไปได้รับความลำบากอีกต่อไป การที่ฉันได้ตัวเธอมานี้ก็ทำให้ฉันดีใจจนพูดไม่ถูก อยากจะบอกว่า ฉันยังไม่เคยได้สิ่งใดที่ทำให้ฉันพอใจเท่าได้เธอมาอยู่ด้วยเลย ฉันคงมีความสุขและสบายใจขึ้นมาก” เมื่อผมพูดแล้วก็คิดว่า เด็กวัยรุ่นคนนี้คงจะยินดีปฏิบัติตาม แต่ผมต้องผิดหวังในเมื่อแกยกมือขึ้นไหว้ผมแล้วบอกว่า “ท่านกรุณาผมมาก แต่ผมไม่อาจจะรบกวนให้ท่านต้องได้รับความลำบากเพราะผม ความจริงผมไม่อยากปฏิเสธความกรุณาของท่าน แต่จำเป็นที่ผมจะอยู่กับท่านไม่ได้ ปล่อยให้ผมไปตามทางเถิดครับ” เมื่อผมได้ยินคำพูดเช่นนี้ผมเองก็ตะลึงงง ไม่นึกว่าเด็กจนๆ คนนี้จะกล้าปฏิเสธ ในเมื่อมีผู้อุปการะให้มีความสุข ถ้าเป็นคนอื่นก็คงรีบรับด้วยความยินดี เหตุนี้ทำให้ผมมีจิตใจไม่สบายขึ้นมาทันที นึกว่าเด็กคนนี้จะเสียสติ หรือจะมีเหตุผลอย่างไร แกจึงกล้าปฏิเสธผมพยายามข่มใจให้เป็นปกติแล้วว่า “ทำไมเธอจึงปฏิเสธความรักและความหวังดีของฉันที่มีต่อเธอ และตั้งใจจะเลี้ยงดูเธอให้เหมือนบุตรของฉัน เพราะฉันไม่เคยมีบุตร เธอทำให้ฉันเสียใจและผิดหวัง”