Monday, January 15, 2007

ความดี โดย ท.เลียงพิบูลย์ (3)

ผมงงเพราะไม่น่าจะเป็นไปได้ ที่ชายเหล่านี้คล้ายกับนัดกันไว้ไม่ยอมรับเงินที่ยื่นให้ ถ้าไม่ประสบกับตัวเองแล้ว ผมก็คงจะไม่เชื่อว่า กรรมกรหาเช้ากินค่ำจะมีน้ำใจยอมทำงานให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ผมจึงถามชายผู้เป็นหัวหน้าและเป็นชายคนเดียวกันกับคนที่มองดูผมที่ร้านขายอาหาร ซึ่งเป็นผู้ที่ผมไม่ไว้ใจมาแต่แรก บัดนี้รู้ชัดแจ้งแล้วว่าชายผู้นั้นเป็นผู้ที่น่าเคารพนับถือ เป็นหัวแรงนำรถของผมขึ้นจากท้องนาว่า "ทำไมพวกคุณจึงไม่ยอมรับค่าตอบแทนที่ผมได้ให้ด้วยความเห็นอกเห็นใจ" แต่แล้วผมก็เห็นชายผู้นั้นยกมือไหว้ แล้วพูดด้วยเสียงเครือๆ คล้ายจะร้องไห้แสดงความตื้นตันใจว่า "ท่าน..... ท่าน..... จำผมไม่ได้หรือครับ ท่านได้เคยช่วยชีวิตผมไว้ครั้งหนึ่ง" ขณะที่พูดน้ำตาของแกไหลออกมาจากเบ้าตา ผมเห็นกิริยาท่าทางของแกเปลี่ยนแปลงไปเช่นนั้น ก็สงสัย และงงเพราะยังไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ ได้พิจารณาดูแกเท่าไรก็นึกไม่ออก จำไม่ได้ว่าเคยเห็นเคยพบเคยช่วยชีวิตแกที่ไหนมาก่อน นึกว่าชายผู้นี้คงจะเข้าใจผิดไปว่าผมเหมือนกับใครคนหนึ่งที่แกเคยรู้จัก และมีบุญคุณต่อแกอย่างใหญ่หลวง และผู้นั้นคงมีรูปร่างเหมือนผมแน่ ผมจึงพูดกับแกว่า "คุณคงจะเข้าใจผิด และจำคนผิดก็ได้ ผมอยากจะบอกว่า ผมไม่เคยพบเห็นคุณมาก่อนเลย ขอโทษที่ผมพูดความจริงเพื่อให้คุณหายเข้าใจผิด" แต่ความจริงผมก็ไม่ควรตัดสินใจ พูดตรงๆ เช่นนั้น เพราะจำทำให้แกเสียน้ำใจ แต่ผมก็เป็นผู้เคารพความจริง เพราะผมจำไม่ได้และไม่อยากให้ผู้อื่นเข้าใจผิดด้วย แต่ชายนั้นกลับพูดอย่างแน่ใจอีกครั้งว่า "ไม่ผิดครับ ผมจำท่านไม่ผิดแน่ แม้เวลาจะล่วงเลยไปนานแล้วก็ดี แต่ท่านก็ไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก ผมเห็นท่านเมื่อท่านจอดรถซื้อของที่ตลาดแล้ว ผมตั้งใจจะเข้าไปแสดงความเคารพท่าน แต่ไม่กล้า เพราะผมรู้ว่าท่านจำผมไม่ได้แน่ แต่ผมจำหน้าท่านได้ และนึกถึงตลอดมาไม่เคยลืมเลย นึกถึงพระเดชพระคุณที่ท่านได้เคยช่วยในครั้งนั้น เพราะถ้าไม่ได้ท่านในคราวนั้น ผมก็ไม่แน่ใจว่าผมจะได้อยู่เป็นคนถึงบัดนี้หรือไม่ คนที่มีบุญคุณกับผมนั้นผมไม่เคยลืมเลย ผมจึงจำได้อย่างแม่นยำไม่ผิดแน่" ผมได้ฟังแล้วยังงงนึกเท่าไรก็นึกไม่ออก มองดูรอบตัวก็เห็นพวกของชายผู้นั้นมายืนสงบ คอยฟังคำโต้ตอบของผมกับชายแปลกหน้าผู้นั้นอยู่อย่างสนใจ เวลานี้ฝนหยุดตกแล้ว ผมคิดว่าควรจะซักถามความจริง เพื่อให้แจ่มแจ้งแน่ใจว่า ชายผู้นี้ไม่เข้าใจผิดในตัวผมจึงบอกว่า "ไหนคุณลองเล่าเหตุที่เกิดขึ้น ซึ่งทำให้ผมเข้าไปพัวพันช่วยเหลือคุณไว้ บางทีอาจทำให้ผมรื้อฟื้นความทรงจำเก่าๆ ขึ้นมาได้บ้าง เพราะผมอาจลืมไปอย่างที่คุณว่าก็ได้" ชายนั้นกลืนน้ำลายแล้วก็เริ่มเล่าเรื่องว่า "เมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ ๒ เวลานั้นญี่ปุ่นยังไม่เข้าสู่สงคราม เรากำลังเรียกร้องดินแดนคืนจากฝรั่งเศส ผมมีพี่น้องสามคนด้วยกัน ผมเป็นพี่คนโต และมีน้องชายอีกสองคน นอกจากนั้นยังมีแม่ที่อยู่ในวัยชราอยู่คนหนึ่ง มาขอร้องให้ผมบวช เพื่อแม่จะได้เห็นชายผ้าเหลืองของลูก ผมเป็นคนเคารพพ่อแม่ ผมจึงบวชเป็นพระสงฆ์เพื่อตามใจแม่ และเพื่ออุทิศบุญกุศลให้ท่านและให้บิดาผู้ล่วงลับไปแล้ว และยังเห็นว่าน้องชายอีกสองคนพอจะทำงานได้เงินมาเลี้ยงแม่ให้มีความสุขได้ตามสมควร ผมก็พอนอนใจได้ไม่ต้องเป็นห่วง" ต่อมาเหตุการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา เพราะประเทศไทยเวลานั้น มีผู้นำได้เรียกร้องดินแดนที่เคยเสียไปเมื่อ ร.ศ. ๑๑๒ คืนจากฝรั่งเศส ถึงกับประชาชนเดินขบวนสนับสนุน ในที่สุดก็ส่งทหารบุกเข้าอินโดจีนเข้ายึดดินแดนที่เสียไปคืนมา ในที่สุด น้องชายของผมทั้งสองคนก็ถูกเกณฑ์เข้ารับราชการทหาร และได้ถูกส่งไปสงครามชายแดน ทางบ้านผมคงมีมารดาผมคนเดียว แต่บังเอิญมีหลานสาวห่างๆ มาอยู่เป็นเพื่อนคอยหุงหาอาหารให้กิน ต่อมาทหารญี่ปุ่นก็ขึ้นประเทศไทย ทำให้ประเทศไทยต้องประกาศสงครามกับมิตรประเทศด้วยความจำเป็น เวลานั้นผมยังบวชเป็นพระ แต่การจำศีลภาวนาเล่าเรียนพระธรรมวินัยไม่สะดวกด้วยจิตใจไม่สงบไม่มีสมาธิ ตั้งแต่น้องชายเป็นทหารไปราชการสงครามชายแดน จิตใจผมเป็นห่วงแม่อยู่ตลอดเวลา ต่อมาทางพันธมิตรก็ส่งเครื่องบินเข้าโจมตีพระนคร และหลานสาวห่างๆ ก็จัดการแต่งงานไปอยู่กับสามี ความเป็นห่วงแม่จนไม่สามารถจะบวชเป็นพระอยู่ต่อไปได้ จึงตกลงตัดสินใจลาอาจารย์ขอสึกออกมาเพื่อเลี้ยงดูมารดาแทนน้องชายทั้งสองคน หลังจากได้สละเพศพรหมจรรย์ได้เพียงสามวัน เมื่อผมออกจากวัดในวันที่สามนั้นเอง ผมได้เดินทางผ่านมาทางค่ายพักของทหารญี่ปุ่นที่ยึดโกงดังสินค้าของฝรั่งไว้ ทันใดนั้นผมก็ได้ยินเสียงเอะอะได้ยินเสียงคนวิ่ง ผมเองก็ตกใจคิดว่าคงจะมีพวกใต้ดินของไทย ได้เริ่มทำการลุกขึ้นต่อต้านทหารญี่ปุ่นตามที่ผมเคยทราบมาทางลับ ทำให้ผมเกิดเป็นห่วงวิตกถึงแม่ กลัวจะไม่ปลอดภัย คิดว่าพวกใต้ดินเริ่มงานต่อต้านแล้ว ผมก็ตั้งใจจะพาแม่ไปหลบหาที่พ้นภัย ผมวิ่งไปคิดไปแต่วิ่งไปได้ไม่ไกลนัก ก็ถูกทหารญี่ปุ่นสองคนซึ่งวิ่งมาทางไหนผมก็ไม่ทราบ ใช้มือรัดคอจับผมได้ และคุมตัวผมนำมาหานายทหารญี่ปุ่นที่ค่ายพัก ระหว่างทางที่คุมตัวผมมานั้นมีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ทั้งชายทั้งหญิงออกมายืนดู และต่างก็วิจารณ์ความคิดเห็น มีชายสูงอายุผู้หนึ่งพูดขึ้นว่า "น่าสงสารอ้ายทิดที่สึกออกมา ผมยังไม่ทันยาวก็มางัดโกดังญี่ปุ่น ประเดี๋ยวก็โดนกรอกน้ำสบู่หรอกวะ ถ้ามันจับได้แล้วไม่มีใครหนีพ้นดื่มน้ำสบู่ไปได้" เสียงที่พูดนั้นแสดงความเห็นใจและสงสาร ผมได้ยินแล้วตกใจเราจะทำอย่างไรดี นึกถึงแม่เป็นห่วงแม่ ถ้าเราเป็นอะไรไป แม่จะลำบากยากเย็นเพียงไหน เมื่อนึกแล้วผมก็มีความกลัวยิ่งนักผมเป็นคนบริสุทธิ์ แต่จะทำอย่างไรดี จะบอกทหารญี่ปุ่นได้อย่างไรว่า ผมไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขโมยงัดโกดังในครั้งนี้ การที่ผมวิ่งไปหาแม่นั้น ทำให้ทหารญี่ปุ่นคงเข้าใจผิดคิดว่าผมคงวิ่งหนี คงเป็นคนร้ายแน่ และคิดว่าคนร้ายตัวจริงก็คงวิ่งมาทางเดียวกับผม ยิ่งคิดก็ทำให้เป็นห่วงแม่ยิ่งขึ้น ถ้าทหารญี่ปุ่นนำไปทรมานจนตายแม่ก็คงไม่รู้เรื่อง แม่คงหลงเข้าใจผิดว่าลูกหนีแม่ไป แต่ถ้าแม่รู้เรื่องแม่คงตกใจและเสียใจมาก อุตส่าห์สึกออกมาตั้งใจจะทำงานหาเงินมาเลี้ยงแม่ให้มีความสุขแทนน้องชาย แต่ไม่นึกว่าเคราะห์กรรมมาเป็นเช่นนี้ ไม่รู้จะทำอะไรดี ได้แต่อธิษฐานว่า ผลของการกตัญญูต่อแม่บังเกิดเกล้า และความบริสุทธิ์ไม่มีความผิด ด้วยอำนาจทั้งนี้ ขอให้พระคุ้มครองให้พ้นจากภยันตรายด้วย ทหารญี่ปุ่นทั้งสองคนก็คุมตัวผมเข้าไปมอบให้นายทหารในที่ทำการ ผมก็เห็นท่านนั่งอยู่ในนั้นด้วย และกำลังนั่งสนทนากับนายทหารญี่ปุ่น เมื่อนายทหารหันมาพูดกับทหารที่คุมตัวผมมา ท่านก็หันมามองดูผมด้วยสายตาที่บอกถึงความสงสารและเมตตา เมื่อท่านถามผมก็เล่าความจริงให้ท่านฟัง เมื่อนายทหารญี่ปุ่นคนนั้นสั่งให้นำผมเข้าไปในห้องทรมาน ท่านเป็นผู้ห้ามไว้ เท่านั้นท่านพอที่จะจำได้หรือยังครับ ?