Monday, January 15, 2007

เด็กข้างถนน : โดย ท.เลียงพิบูลย์ 2

หลังจากได้รับเงินรางวัลตามสลากที่ถูกต้องแล้ว ผมก็เที่ยวตามหาเด็กขายสลากกินแบ่งคนนั้น ซึ่งผมได้สัญญาไว้ว่า จะให้รางวัล แต่ผมยังสงสัยว่า จะจำเค้าหน้าเด็กนั้นได้แม่นยำหรือไม่ คิดว่าหากได้เห็นหน้าอีกครั้งหนึ่งคงจำได้ เดินหาแถวบางลำภูและสะพานผ่านฟ้าหลายเที่ยวก็ไม่พบเด็กคนนั้น ต่อมาอีกสองวันผมได้ไปหาอีกก็คงไม่พบเด็กอีกตามเคย วันหลังนี้ผมได้ตั้งใจไว้ว่าจะไปเที่ยวค้นหาทางเขาดินบ้าง หลังจากเมื่อหาทางบางลำภูและผ่านฟ้าไม่พบแล้ว ผมจึงเดินไปทางลานพระบรมรูปทรงม้าหน้า พระที่นั่งอนันตสมาคม พอถึงสี่แยกมุมขวาที่จะเข้าสวนสัตว์เขาดินวนา ก็ได้พบเด็กชายอายุประมาณคงไม่เกิน ๑๐ ขวบยืนร้องไห้ ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมา ห่างออกไปมีเด็กชายอายุประมาณ ๑๒–๑๓ ขวบ ใช้เท้าเขี่ยกระติกที่กลิ้งอยู่ตรงหน้าไปมา เสียงที่พูดอะไรกันผมอยู่ห่างไม่ทันได้ยิน เมื่อเข้าไปใกล้จึงได้ยินแต่เสียงของเด็กที่เล็กกว่าร้องไห้พลางพูดว่า “ถือว่าโตกว่าชอบรังแกเด็ก แล้วยังไม่พอ ยังเตะกระติกหวานเย็นเขาแตก” แล้วส่งเสียงร้องไห้ ห่างออกไปมีกรรมกรสองสามคนทำความสะอาดสถานที่แถวนั้น หยุดมองดูเพราะเสียงร้องไห้ของเด็ก ผมจึงเดินไปดูแล้วถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น หนูถึงได้ร้องไห้เสียอกเสียใจอย่างนี้” เด็กร้องไห้พลางบอกว่า “เขารังแกผมครับ เขาถือว่าตัวโตกว่า” สิ่งที่ทำให้เกิดเอ็นดูเด็กคนนั้น ก็เพราะแม้แกจะโกรธแค้นถึงกับร้องไห้ แกก็ไม่กล่าวคำหยาบออกมาจากปาก ซึ่งผิดกับเด็กบางคน ถ้าโกรธถึงกับร้องไห้ก็มักจะใช้วาจาหยาบด่าออกมาเพื่อให้แค้น ผมจึงถามว่า “ใครทำกระติกแตกล่ะหนู” เด็กคนเล็กชี้มือไปทางเด็กที่โตกว่า ซึ่งกำลังจะเดินออกจากที่นั้นไป ด้วยท่าทางหยิ่งยโสตามนิสัยคนพาล “เขาถือว่าตัวโตกว่า รังแกผมยังไม่พอ ยังเตะกระติกน้ำแข็งใส่หวานเย็นของผมแตก แล้วยังเอาตีนเขี่ยเล่น ผมจึงแค้นใจ เสียใจ เพราะผมไม่รู้ว่าจะไปพูดกับเจ้าของกระติกหวานเย็นเขาว่าอย่างไรดี เขาเคยชมว่าผมเป็นคนดี ไม่เกเรเหมือนเด็กอื่น ผมอายเขา ไม่รู้จะมองหน้าเขาอย่างไร จะซื้อกระติกใช้เขาก็ไม่มีเงิน ผมรับหวานเย็นเขามายังขายไม่ได้ถึงบาท กระติกก็แตก หวานเย็นก็เสียหมด นี่ผมก็คงต้องถูกดุด่าที่ทำให้เขาขาดทุน และเขาคงไม่ว่าผมเป็นคนดีอีกแล้ว คงไม่ให้ผมรับมาขายต่อไป เขาคงไม่รู้หรอกครับว่าผมไม่ได้ทำ ผมบอกเขาคงไม่เชื่อ” ผมได้ยินเด็กพูดแล้วก็ให้นึกสงสาร เพราะแกพูดอย่างซื่อๆ มองดูหน้าก็รู้สึกว่าจะเคยเห็นมาก่อน ผมจึงถามแกว่า “หนูไปทำอะไรให้เขาโกรธล่ะ เขาจึงได้รังแกถึงกับเตะกระติกหวานเย็นของหนูแตก” เด็กใช้หลังมือปาดน้ำตาจนแห้งแล้วจึงพูดว่า “ผมไม่ได้ทำไมเขาหรอก ผมก็ไม่เคยรู้จักเขามาก่อน ทีแรกเขาเข้ามาชวนผมเล่นทายหัวทายก้อนเอาตังกัน ผมบอกว่า ผมไม่มีตัง เขาบอกว่าตังขายหวานเย็นไงล่ะ ผมก็บอกว่าตังขายหวานเย็นไม่ใช่ของผม เป็นเจ้าของหวานเย็นเขา ถ้าขายหมดก็เอาไปส่งเขา แล้วเขาก็คิดเปอร์เซ็นต์ให้ทีหลัง เขาว่าผมไอ้โง่ หักค่าเปอร์เซ็นต์ไว้ก่อนซีวะ ถ้าเอ็งไม่อยากเล่นปั่นแปะหัวก้อน ก็มาเล่นทายเลขท้ายรถยนต์ก็ได้ เอาไหมล่ะ ผมบอกว่าผมเล่นไม่เป็นและไม่อยากเล่น เพราะยายผมสอนไว้ว่า อย่าเล่นการพนันเพราะการพนันทุกอย่างมันไม่ดี มันเป็นของชั่วร้าย ถ้าใครเห็นเขาเล่นกันที่ไหนก็อย่าไปดูเขา หลีกไปให้ไกล มันมีแต่โทษไม่มีคุณ ถ้าตำรวจมาจับก็จะพลอยถูกจับไปด้วย เขาเห็นว่าผมไม่ยอมเล่นด้วยก็โกรธ พูดว่าอ้ายนี่ยายสอนนัก กูจะเตะมึง ดูซิว่ายายมึงจะสอนว่ายังไงอีก ว่าแล้วเขาก็เตะผม ผมกำลังถือกระติกน้ำแข็งใส่หวานเย็นอยู่ ผมก็ยกขึ้นรับปิดป้องกัน แต่แล้วกระติกในมือผมก็กระเด็นหลุดจากมือ เพราะถูกเท้าเขาเตะระเบิดแตกกระจาย และเขาก็ใช้เท้าเตะเขี่ยเล่น แล้วก็หัวเราะอย่างชอบใจ ส่วนผมตกใจ ผมมีสตางค์เอาไปให้ยายใช้ก็เพราะอาศัยที่ผมได้ขายหวานเย็น” เด็กพูดแล้วก็น้ำตาไหลออกมาอีก ผมนึกสงสารจึงถามว่า “บ้านหนูอยู่ที่ไหนล่ะ เห็นหนูพูดถึงแต่ยาย ไม่เห็นพูดถึงพ่อแม่” เด็กตอบว่า “ผมไม่มีบ้าน พ่อแม่ก็ตายหมด ผมอยู่กับยายๆ ผมถือศีล อาศัยอยู่กับแม่ชีในวัด” ผมได้ยินเช่นนั้น ก็เกิดนึกได้ว่าความฝันของผม บังเอิญเด็กมีรูปร่างสูงต่ำ ท่าทางมาตรงกันกับเด็กคนนี้ จึงคิดว่าเด็กคนที่ผมฝันก็มีส่วนช่วยให้ถูกรางวัล เพราะถ้าผมไม่ฝันก็คงไม่ซื้อสลากกินแบ่ง ฉะนั้น เด็กคนนี้สมควรมีส่วนรับรางวัลด้วย ส่วนเด็กคนขายที่ผมสัญญาจะให้รางวัลนั้น เมื่อตามตัวพบค่อยให้คราวหลัง เมื่อคิดเช่นนั้นผมก็หยิบเงินออกมาจากกระเป๋า พลางพูดว่า “หนูไม่ต้องเสียใจ หยุดร้องไห้ได้แล้ว ฉันจะช่วย เอานี่หนูฉันให้เงินเธอแปดสิบบาท เอาไปซื้อกระติกให้เขา” พูดแล้วก็ยื่นธนบัตรให้เด็กผู้นั้น แล้วพูดต่อไปว่า “เอาแก้วใส่ในกระติกที่แตกนั่นไปทิ้งเสียในที่ที่ปลอดภัย ถ้าทิ้งไว้จะไปตำเท้าคนอื่นเข้า แล้วเอาเปลือกนอกไปซื้อแก้ไส้ในใส่ใหม่คงไม่แพงนัก ไม่เกิน ๒ - ๓ บาท แล้วเอาไปคืนให้เจ้าของหวานเย็น พร้อมทั้งจ่ายค่าหวานเย็นให้เรียบร้อย แล้วเธอก็เป็นคนดีต่อไป ส่วนเงินที่เหลือเก็บไว้ใช้หรือให้ยายก็ได้ตามใจเธอ” เด็กน้อยมองดูธนบัตรใบละยี่สิบ เป็นจำนวนสี่ใบ ด้วยสายตาและกิริยาไม่เชื่อตาและไม่เชื่อหู แล้วก็ยื่นมืออกมารับอย่างงงๆ เพราะไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าจะได้เงินมากเช่นนี้ แกหยิบธนบัตรไปดูและลูบคลำ พอได้สติดวงตาก็แจ่มใสขึ้น แกยิ้มแล้วก็ยกมือขึ้นไหว้ผมแล้วร้องว่า “โอ ! นี่ผมได้เงินแปดสิบบาทจริงๆ หรือครับ แทบไม่น่าเชื่อเลย ท่านทำไมถึงได้ให้ผมมากเช่นนี้ ตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยมีเงินถึงสิบบาทเลยครับ” แกมองดูธนบัตรที่กำไว้ในมือ แล้วก็พูดกับตัวเองว่า “ยายเราคงดีใจมาก เมื่อรู้ว่าเราได้เงินตั้งแปดสิบบาท” ผมเองเมื่อเห็นกิริยาตื่นเต้นของเด็ก ก็พลอยปลื้มใจ เกิดมีความสุขเกินค่าของน้ำเงินที่ผมมอบให้แก คล้ายกับความดีใจที่ได้ช่วยชุบชีวิตคนไข้ให้ฟื้นจากความตาย เงินของผมได้ให้ถูกจุดของผู้ต้องการ แกกำลังปลื้มใจ และฝันอะไรต่ออะไรตามนิสัยของเด็กพอสมควร แล้วก็หันมาทางผม พูดว่า “ท่านใจดีเหลือเกิน ผมคิดว่าคงไม่มีใครให้เงินเด็กมากๆ อย่างนี้นะครับ” ผมยิ้มปลอบใจแกแล้วว่า “คนอื่นเขาอาจให้มากกว่านี้ก็ได้ ถ้าเด็กคนนั้นเป็นเด็กดีมีความซื่อสัตย์ มีความกตัญญูเคารพผู้ใหญ่ ทำให้ผู้ใหญ่มีความรักใคร่เอ็นดูขึ้น” เด็กยิ้มอย่างดีใจแล้วว่า “จริงครับ ยายเคยสอนผมอยู่เสมอ ในเรื่องให้ทำความดี อ้อ ! ท่านอยู่ที่ไหนครับ และท่านชื่ออะไรผมเพียงขอทราบเท่านั้น ผมไม่รบกวนท่านอีก ผมอยากรู้จะได้ไปบอกกับยายว่า ท่านเป็นผู้มีบุญคุณให้เงินกับผมมาก เดี๋ยวยายจะสงสัยและเสียใจ นึกว่าผมได้เงินมาโดยทางไม่ดี แต่ผมก็ไม่เคยโกหก ยายไม่ชอบคนทุจริต ยายเคยเล่าให้ผมฟังถึง เสือเปีย และเสืออ้น ที่ถูกแทงตาย และถูกยิงตาย อายุสั้น เพราะหากินในทางทุจริต ยายบอกว่าคนทุจริตตายเร็วกว่าคนธรรมดา” ผมได้ฟังเด็กพูดเช่นนั้น ก็เกิดสงสารและเอ็นดูมากขึ้นจึงบอกว่า “ชื่อ.......... อยู่ที่ถนน................. ซอย............. บ้านเลขที่....... ถ้าหนูเข้าไปในซอย ถามชื่อฉันคนในซอยนั้นเขาจะชี้บ้านให้ ถ้ามีเรื่องเดือดร้อนไปหาฉันซินะ ถ้าช่วยได้ฉันยินดีช่วย” ผมเห็นกรรมกรทำความสะอาดนั้น มองดูผมอย่างสงสัยคงคิดว่า ทำไมผมจึงให้เงินเด็กขายหวานเย็นมากถึงเพียงนั้น และคงนึกว่าผมอวดเบ่งอวดเป็นเศรษฐี แต่ถ้าเขารู้ว่าผมถูกสลากกินแบ่งรัฐบาลรางวัลที่สาม เขาคงหมดสงสัย เหตุการณ์ครั้งนั้น เมื่อทบทวนถึงความฝันแล้ว ก็คิดว่าเป็นเพียงเหตุบังเอิญเท่านั้น และเด็กคนนั้นก็ไม่ได้ติดตามมาขออยู่ด้วยแม้ว่าผมจะรู้สึกเอ็นดูรักใคร่สงสาร เพราะผมเห็นว่าเป็นคนดี มีนิสัยดี มีความซื่อสัตย์กตัญญู ผิดกับเด็กอื่นที่วิ่งเล่นแถวท้องถนนทั่วๆ ไปก็ตาม แต่ในไม่ช้าผมก็ลืมเหตุการณ์ในครั้งนี้เสียสนิท เวลาได้ผ่านไปประมาณ ๑ ปี ผมไม่ได้พบเด็กคนนั้นอีกเลย ในเวลานั้นผมมีไร่อยู่ต่างจังหวัด และผมต้องเดินทางไปไร่อย่างน้อยเดือนละครั้ง คือวันสิ้นเดือน เพื่อนำค่าแรงและสิ่งอื่นๆ ไปจ่ายเป็นประจำ