Monday, January 15, 2007

เด็กข้างถนน : โดย ท.เลียงพิบูลย์ 9

และบางเวลาก็มีพระสงฆ์เข้าไปเทศนาอบรมสั่งสอน ทำให้ชายผู้นั้นนึกถึงตัวว่านี่เป็นกรรมที่ทำไว้ เพราะความชั่วจึงต้องถูกทรมานทั้งร่างกายและจิตใจ ต้องก้มหน้ากัดฟันทนไปจนกว่าจะใช้กรรมจนถึงวันสิ้นสุด เมื่อนักโทษมีเวลาอยู่ใกล้ชิดกันเช่นนี้ ต่างก็ถามถึง สาเหตุที่ต้องโทษและก็เล่าสู่กันฟัง แต่ก็มีนักโทษเก่าๆ บางคนที่สนใจในการอบรมของพระสงฆ์ บางคนกลับอวดอ้างความรู้ของตัวเก่งกล้าสามารถ อวดอำนาจวิชาไสยศาสตร์ของตนว่าอยู่ยงคงกระพัน และอวดอ้างการผจญภัยอย่างโชกโชนของตนให้ทราบ เพื่อข่มขวัญนักโทษที่มาใหม่ให้เกรงกลัว จะได้ยกตนให้เป็นใหญ่ มีพวกพ้องมากในหมู่นักโทษด้วยกันนักโทษที่เข้าไปใหม่ๆ มีความกลัวและขวัญไม่ดีอยู่ ก็เลยยึดถือเป็นที่พึ่งฝากเนื้อฝากตัวนับถือยกขึ้นเป็นอาจารย์ เรื่องของพวกนักโทษที่ทำผิดนั้นมีมาก เท่าที่เล่าสู่กันฟังบางคนส่วนมากไม่มีสันดานผู้ร้ายมาก่อน บางคนมีความรู้ความประพฤติตลอดจนฐานะดี รู้สึกผิดชอบชั่วดี แต่ต้องมารับกรรม ก็เพราะได้ทำผิดด้วยความประมาท ทำลายชีวิตคนบนท้องถนนหลวงโดยไม่ตั้งใจ บางคนก็ดื่มเหล้าเมาไม่ได้สติ ทำผิดไปโดยไม่รู้สึกตัว มีนักโทษผู้หนึ่งเล่าให้ฟังว่าเขาต้องมาใช้กรรมเพราะความโกรธเป็นต้นเหตุ ตนเองอยู่ในอำนาจของโทสะไม่สามารถจะยับยั้งจิตใจคุมให้สงบได้ จึงทำสิ่งที่ไม่สมควรลงไป คือ ลุแก่อำนาจโทสะ ทำร้ายคนมีอาการปางตาย แต่เมื่อรู้สึกตัวว่าตนได้ทำความผิด ทุกสิ่งทุกอย่างก็สายเกินที่จะแก้ไขให้คืนเป็นปกติได้แล้ว ฉะนั้น คนสมัยก่อนจึงเตือนไว้ว่า เวลารู้สึกว่าจะโกรธก็ให้นับหนึ่งถึงสิบ เสียก่อนที่จะทำอะไรลงไป เพราะคนเราเวลาโกรธนั้น เหมือนคนบ้าขาดความยั้งคิด ลืมทุกสิ่งทุกอย่างของตน การที่คนสมัยก่อนให้นับหนึ่งถึงสิบนั้น ก็จะให้ผู้อยู่ในอารมณ์โกรธนั้น ได้มีเวลาคิดพอที่จะยับยั้งชั่งใจ ได้สติรู้สึกผิดชอบชั่วดี พอจะหยุดยั้งไม่ประกอบกรรมชั่วตามอารมณ์ของตน นอกจากผู้เล่าเรื่องนี้แล้ว ก็คิดว่ามีนักโทษจำนวนไม่น้อยที่ต้องมาติดโทษ เพราะความโกรธเป็นต้นเหตุ เรื่องราวของนักโทษที่ต้องมาใช้กรรมในที่นั้นมีมากมาย แต่มีเรื่องหนึ่งที่ทำให้ชายผู้นั้นต้องสะเทือนมากกว่าเรื่องอื่น ก็คือ เรื่องของชายนักโทษผู้หนึ่งซึ่งเล่าว่า ตนเป็นผู้ที่มีความชำนาญในทางโจรกรรม ตัดช่องย่องเบาและฉกชิงวิ่งราว มีเพื่อนร่วมใจด้วยกันอีกสองคน ในคืนวันหนึ่งเขาได้เข้าไปทำการโจรกรรมในบ้านของผู้ที่มีฐานะปานกลางผู้หนึ่ง เป็นคราวเคราะห์ของเจ้าของบ้าน และเป็นโชคดีของผู้ทำการทุจริตทั้งๆ ที่ไม่เคยนึกเลยว่าบ้านนั้นจะมีเงินสดมากเกินกว่าฐานะคนชั้นนั้นจะมีได้เมื่อได้ ลาภมากมายเช่นนั้น ต่างก็ดีใจแบ่งเงินกันใช้จ่ายอย่างสนุกสนาน เพราะเงินหามาได้ง่ายๆ ไม่ต้องใช้ความพยายามให้เหนื่อยยากลำบาก ความเสียดายจึงไม่มี ต่อมาก็ได้ข่าวว่าเจ้าของบ้านที่ถูกชายผู้นั้นเข้าทำการโจรกรรม ได้ฆ่าตัวเองโดยผูกคอตาย และไม่ทราบเหตุผล ทรัพย์สินก็ไม่มีเหลือพอที่จะให้ภรรยาแบะบุตรครองชีวิตต่อไป แม้แต่บ้านที่อยู่ก็ได้ขายฝากเอาไว้ทิ้งภรรยาและบุตรที่ยังเยาว์ตาดำๆ อีก ๔ คน ไว้เผชิญโลกโดยลำพัง บุตรทั้งสี่คนนั้นเป็นชายสามหญิงหนึ่ง คนโตอายุเพียง ๑๑ ขวบ คนรองอายุ ๗ ขวบ คนที่ ๓ อายุเพียง ๕ ขวบ คนสุดท้อง อายุเพียง ๒ ขวบเท่านั้น ซึ่งต้องกำพร้าพ่อตั้งแต่อายุยังน้อย ยังรับผิดชอบตัวเองไม่ได้ ต้องอยู่ในความดูแลของภรรยาของผู้ตายซึ่งเป็นมารดาของเด็ก ผู้ที่มาร่วมฟังเรื่องราวอยู่ด้วยหลายคน ต่างก็เศร้าใจบางคนก็สนใจอยากรู้เรื่องให้ตลอด ถึงกับซักถามนักโทษผู้นั้นเป็นเจ้าของเรื่องว่า การที่เจ้าของบ้านฆ่าตัวตายนั้น เกี่ยวกับเรื่องที่ถูกขโมยเงินไปจนหมดตัวหรือเปล่า หรืออาจจะเป็นเพราะเงินที่อยู่ในความรับผิดชอบของตนหายไป บอกใครก็คงไม่มีใครเชื่อว่าถูกโจรกรรม และไม่สมารถจะหาเงินมาใช้แทนได้ เมื่อหาทางออกไม่ได้ก็เลยคิดฆ่าตัวตายก็อาจจะเป็นได้ แต่ชายนักโทษเจ้าของเรื่องก็ไม่สามารถจะตอบได้ เพราะไม่รู้เบื้องหลังของชายที่ฆ่าตัวตายคนนั้นมาก่อน เหตุที่รู้เรื่องมาถึงแค่นั้น ก็เป็นเพราะบ้านของนักโทษผู้นี้อยู่ห่างไกลจากบ้านผู้ตายมากนัก บอกได้แต่เพียงว่าการที่ตนต้องมาต้องโทษไม่ได้เกี่ยวกับคดีเรื่องนี้ ต่อจากนั้นมาก็รู้สึกว่านักโทษที่มีใจเป็นธรรมได้ฟังเรื่องนี้หลายคน พลอยจะไม่ชอบหน้านักโทษผู้เล่าเรื่องนี้ เพราะเห็นใจสงสารครอบครัวผู้เคราะห์ร้าย หลายครั้งที่มีผู้จะหาเรื่องลงทัณฑกรรมนักโทษผู้นั้นเพราะชังน้ำหน้า เนื่องจากเป็นเต้นเหตุทำให้ครอบครัวนั้นต้องรับกรรม นักโทษผู้นั้นเห็นจะเข้าตำราที่โบราณว่า ปลาหมอตายเพราะปาก เพราแทนที่นักโทษด้วยกันจะยกย่องในความเก่งกล้า กลับพากันเห็นใจภรรยาและบุตรของเจ้าของทรัพย์ ที่ต้องได้รับเคราะห์กรรมอย่างแสนสาหัส เป็นการตัดความรุ่งเรืองก้าวหน้าในอนาคตของพวกเด็กๆ ที่ควรจะได้รับ หากบิดายังมีชีวิตอยู่ ทั้งแม่และลูกจะต้องอยู่กันไปตามยถากรรม เพราะลำพังกำลังของแม่เพียงผู้เดียวคงไม่อาจจะให้การศึกษาแก่ลูก ได้มากเท่าที่ควร แต่ความจริงแล้วก็มิใช่ความผิดของนักโทษผู้ก่อเรื่องนี้ขึ้น เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าเงินจำนวนนั้นจะมีความสำคัญเกี่ยวแก่ชีวิตของครอบครัวนี้ ถึงกับต้องสูญเสียพ่อบ้านไป และไม่นึกว่าเหตุการณ์จะรุนแรงเกี่ยวโยงไปถึงชีวิตอีกหลายชีวิต ที่จะต้องรับเคราะห์กรรมต่อไปในอนาคต สิ่งเหล่านี้กระเทือนใจชายผู้นั้นมาก เพราะตนเองก็เคยประกอบกรรมชั่วแบบนี้ไว้มาก และตนเองก็ไม่เคยสนใจในเรื่องเช่นนี้มาก่อน แต่เมื่อฟังพระสงฆ์สอนศีลธรรมนานเข้า เมื่อมาได้ฟังเรื่องเศร้ากลับนึกละอายอดสูใจยิ่งขึ้น ทำให้นึกถึงคนที่ตนได้เคยโจรกรรมมาแล้ว คงจะมีคนที่อยู่ในสภาพเช่นนั้นบ้าง ทำให้คิดสงสารคนที่ถูกโจรกรรมเท่าที่เคยรู้ สำหรับผู้ที่ไม่มั่งมีอะไรนัก ต้องอุตสาหะพยายามหาทรัพย์มาด้วยความเหนื่อยยากลำบาก หามาด้วยน้ำพักน้ำแรงหากินด้วยความสุจริตมิได้คิดคดโกงใคร เพื่อที่จะสะสมเงินไว้ให้ลูกในอนาคต เมื่อรู้ว่าถูกลักขโมยไปจนหมดตัว บางรายที่เป็นหญิงก็ถึงกับร้องไห้เป็นลมไป เพราะเสียดายทรัพย์สินที่สะสมไว้ พวกเที่เก็บเงินไว้กับบ้านไม่ยอมนำไปฝากธนาคารยังมีอีกมากเป็นเรื่องน่าเศร้าใจที่สุดในชีวิต ความรู้สึกผิดชอบก็ค่อยๆ เกิดขึ้นในจิตใจของชายผู้นั้น ต่อมาชายผู้นั้นเพิ่มความสนใจในศีลธรรมบาปบุญมากขึ้น เมื่อได้ฟังพระเถระผู้ทรงศีลอันบริสุทธิ์ ซึ่งได้รับการนิมนต์ ให้เข้าไปอบรมเทศนาสั่งสอน เพื่อให้พวกนักโทษรู้ซึ้งถึงรสพระธรรมของพระพุทธศาสนา กล่อมเกลาให้เห็นศีลธรรมเห็นบุญเห็นบาป ให้พิจารณาสำรวมในตัวเองว่า ได้เคยทำสิ่งใดไว้บ้างจึงต้องตกอยู่ในสถานที่เช่นนี้ เราทำชั่วเราก็หนีกรรมชั่วไม่พ้น อย่าไปหวังพึ่งอ้อนวอนพระเจ้าองค์ไหน ที่จะใช้อำนาจมาลบล้างให้หายจากความผิดความชั่วได้ เราเองต้องก้มหน้ารับใช้กรรมจนกว่าจะสิ้นกรรม เมื่อหมดเวรวันเป็นอิสระก็มาถึง ก็จงประกอบกรรมดีต่อไป ชายผู้นั้นก็เกิดกุศลขึ้นทางใจ เมื่อได้รับการอบรมสัจธรรมจากพระเถระผู้ทรงคุณธรรม เทศนาโปรดชี้ให้เห็นทางดีบ่อยเข้า จิตใจก็เกิดศรัทธา มองเห็นผลกรรมที่ทำมาแต่หนหลัง กิเลสที่ปิดบังดวงตาที่มืดมัวมานานก็ค่อยๆ กระจ่างแจ้งเป็นแสงสว่างมองเห็นความจริงยิ่งขึ้นอย่างชัดแจ้ง ที่พวกนักโทษต้องมาถูกจำจอง ก็เพราะกรรมชั่วที่ตนเคยสร้างไว้ หากว่าบุคคลเหล่านี้สร้างกรรมดีก็คงไม่มาอยู่ในสถานที่คุมขังได้รับความลำบากเช่นนี้ มองเห็นชีวิตที่หากินในทางทุจริต มีการจี้ปล้นฆ่าเจ้าทรัพย์ ทำให้ปวงชนผู้สุจริตได้รับความเดือดร้อน นอนตาไม่หลับ แม้ตนเองจะได้ทรัพย์สินไป ก็หาความสุขความสบายไม่ได้ เพราะทรัพย์สินเหล่านั้นเป็นเลือดเนื้อของผู้บริสุทธิ์ แม้ว่ายังไม่ถูกจับกุมก็หมดอิสระภาพทางใจ เพราะเป็นภัยต่อสังคมเป็นที่รังเกียจของคนดีทั่วไป ต้องคอยหลบหลีกอาญาแผ่นดิน นับวันมีแต่จะเพิ่มพูนกิเลสให้มีจิตใจโหดเหี้ยมยิ่งขึ้น ถือเอาอารมณ์ของตนเป็นใหญ่ หูตามืดมัว มองไม่เห็นศีลธรรม เหมือนคนว่ายน้ำออกทะเลลึก ยิ่งห่างจากฝั่งของศีลธรรมออกไปทุกที สิ่งที่ได้รับก็คือมีชีวิตอยู่ได้ไม่ยืดยาวเหมือนคนธรรมดา ส่วนมากต้องจบชีวิตลงเมื่อยังไม่ถึงเวลาที่สมควร คือจบชีวิตลงด้วยคมอาวุธหรือกระสุนปืน หรือมิฉะนั้น ก็จบชีวิตลงโดยเข้าไปอยู่ที่คุมขัง เวลาตายจิตใจก็ไม่สงบ ผิดกับผู้มีศีลธรรมหากินในทางสุจริต ไม่เบียดเบียนมนุษย์และสัตว์ ท่านเหล่านี้ตายตามอายุขัยตามธรรมชาติคือ เจ็บและแก่ตาย จิตก็อยู่ในความสงบ เหตุด้วยพิจารณาดูสิ่งที่เกิดและผ่านไปในอดีต เนื่องจากได้รับการอบรมสั่งสอนจากพระเถระ ทำให้เกิดความรู้สึกซาบซึ้งในรสพระธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เลยตั้งปฏิญาณไว้ว่า เมื่อพ้นโทษจากที่คุมขังไปแล้ว จะใช้เวลาที่เหลืออยู่ทั้งหมดในอนาคตของชีวิตประกอบแต่กรรมดี เพราะความชั่วที่ได้ผ่านไปแล้ว ก็ไม่สามารถเรียกย้อนหลังกลับมาแก้ไขให้ดีได้ มีทางเดียว คือ ลืมเรื่องราวในอดีตเสีย และตั้งต้นทำความดีไป ในเวลาต่อมา บุคคลผู้นั้นก็พ้นโทษออกมาสู่อิสระภาพอีกครั้งหนึ่ง แม้ว่าบุคคลผู้นั้นจะมีรูปร่างท่าทางเหมือนเดิม แต่จิตใจได้เปลี่ยนแปลงไปจนหมดสิ้น ในที่สุดเขาก็เข้าสู่ร่มโพธิ์ของบวรพุทธศาสนา โดยได้อุปสมบทครองผ้ากาสาวพัสตร์ อุทิศตนเป็นคนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่แหละญาติโยมทั้งหลาย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับบุคคลผู้นั้น คงจะเป็นตัวอย่างของชีวิตแก่บุคคลอื่นทั่วไป “บุคคลผู้นั้นคือตัวอาตมาเอง”