Monday, January 15, 2007

เด็กข้างถนน : โดย ท.เลียงพิบูลย์ 8

“ในที่นี้ไม่มีสลัดดำ คงมีแต่พระภิกษุ ที่จำศีลภาวนาเจริญรอยตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อได้ล่วงพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงในโลกมนุษย์ อันมีความ เกิด แก่ เจ็บ ตาย โลภ รัก โกรธ หลง เป็นต้นเหตุ เป็นกองกิเลสที่มนุษย์ยังลุ่มหลงงมงายเวียนว่ายอยู่ในกองทุกข์ อาตมาได้ศึกษาพระธรรมวินัย จึงเกิดปัญญาพิจารณา เห็นจริงในเหตุที่เกิดทุกข์ และทางที่จะดับทุกข์ ฉะนั้นชื่อสลัดดำ ซึ่งมีชื่อในทางชั่วร้ายหากินในทางทุจริต จึงไม่มีอยู่ในโลกนี้อีกต่อไปแล้ว” ผมได้ยินท่านพูดเช่นนั้นก็ขนลุกเกิดตื้นตันใจจนน้ำตาไหล ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกัน เพราะผมได้เคยสั่งคนงานและพวกชาวบ้านทั่วไป ให้ระวังชายที่ชื่อสลัดดำ และบอกรูปร่างให้ทราบกันแล้วทุกคน ถ้าพบบุคคลผู้นี้ที่เป็นฆาตกรตัวร้ายให้รีบมาบอกด่วน เพราะได้มีผู้ส่งข่าวส่วนตัวบอกให้ผมทราบว่า ชายผู้นี้ได้พ้นโทษออกมาแล้ว แต่ผมได้ปิดเป็นความลับ ผมเองก็ไม่สบายใจ แต่ผมไม่อยากบอกให้เด็กรู้ เพราะกลัวแกจะเพิ่มความไม่สบายใจขึ้น แต่เหตุการณ์ประหลาดก็เกิดขึ้น โดยที่สลัดดำได้มาปรากฏตัวขึ้นปลายไร่ในร่างของพระภิกษุสงฆ์ เป็นธรรมดาที่ทุกคนจะต้องงงและตกตะลึง แล้วพระภิกษุก็เรียกเด็กวัยรุ่นเข้าไปหาใกล้ๆ เมื่อเด็กคลานเข้าไปใกล้ท่านแล้วก็กราบลงตรงหน้าสามครั้ง ทุกคนต่างเห็นกันว่าเด็กคนนี้เข้าพระได้เรียบร้อยมาก ผิดกับเด็กที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน เมื่อกราบเสร็จเรียบร้อยแล้วพระท่านก็ถามว่า “เป็นอย่างไรบ้างเจ้าหนู มาอยู่นี่คงมีความสุขดี อาตมาคิดถึงเจ้ามาก เพราะเจ้าทำบุญคุณให้อาตมาไม่น้อย” เสียงเด็กวัยรุ่นกล่าวตอบอย่างตะกุกตะกักว่า “กระผมสบายแต่ร่างกายเท่านั้นครับ หลวงพี่ แต่จิตใจมีแต่ทุกข์ผมพูดไม่ถูก มองหน้าหลวงพี่ไม่สนิท ผมมีความละอายใจเพราะคิดว่าผมได้ทำผิด ทำให้หลวงพี่ต้องได้รับความทุกข์ยากลำบากเข้าไปรับโทษ เพราะการกระทำของผมคนเดียว แม้ว่ากระผมไม่มีใจเจาะจงจะให้เป็นเช่นนั้น แต่ก็เหมือนว่ากระผมเป็นคนทรยศเนรคุณ เหตุนี้จึงทำให้กระผมไม่เคยมีความสุขเลย เพราะใจนึกแต่ว่าผมทำผิด” พระภิกษุยกมือลูบศีรษะเด็กหนุ่ม ซึ่งหมอบอยู่ตรงหน้าด้วยความเมตตา แล้วพูดขึ้นด้วยเสียงอ่อนโยนเจือไปด้วยความกรุณาปรานีว่า “ลืมมันเสียเถิดเจ้าหนู เธอไม่มีความผิด แต่เธอกลับมีความชอบ การกระทำของเธอถูกต้องแล้ว ความผิดย่อมมีแก่คนทำชั่วมิใช่มีแก่คนทำดี กรรมย่อมตามสนองเป็นธรรมดา คนเราเมื่อทำชั่วยังไม่เคยรู้จักความทุกข์ ก็ยังมองไม่เห็นทางทำดีในธรรม เธอไม่ต้องกลัวอีกแล้ว เพราะไม่มีนายสลัดดำผู้มีใจเหี้ยมโหด ไม่มีการแก้แค้น ไม่มีการอาฆาต ไม่มีการสังหารเกิดขึ้นจากน้ำมือของสลัดดำอีกต่อไป เธอคงไม่รู้ตัวว่า การกระทำของเธอครั้งนั้นได้ทำให้ผู้หลงผิดเป็นชอบหูตาสว่างขึ้น เกิดกุศลขึ้นทางจิตใจมองเห็นแสงสว่างของธรรมะ” เมื่อท่านพูดกับเด็กวัยรุ่นเสร็จแล้ว ท่านก็หันมาทางผู้ที่นั่งคอยจะประเคนอาหารเช้า ขณะนั้นทุกคนในที่นั้นนั่งเงียบฟังพระภิกษุกับเด็กหนุ่มพูดกัน เวลาล่วงไปยิ่งสาย ชาวบ้านก็ยิ่งทยอยกันเข้ามามีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ รู้สึกว่าจะเป็นธรรมดาของชาวบ้านแถวนั้นที่พอทราบว่า มีพระธุดงค์มาปักกลดต่างพากันมาหาไม่ขาดสาย ท่านหันไปยิ้มทักท่านปราศรัยทั่วกัน แล้วจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นปกติว่า “ก่อนที่อาตมาจะรับประเคนของญาติโยมผู้มีจิตศรัทธาทั้งหลายโดยทั่วถึงกัน และขอเวลาให้อาตมาสักหน่อย เพราะอยากจะบรรยายเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตบุคคลหนึ่ง เป็นเรื่องที่ญาติโยมทั้งหลายควรที่จะทราบไว้ เพื่อเป็นประโยชน์ หรือเพื่อเป็นข้อที่นำไปคิดประดับความรู้ในเรื่องความดีความชั่ว เพราะเป็นเรื่องที่อาตมาได้รู้ได้เห็นทุกข์ เมื่อได้รับทุกข์ด้วยตนเองจึงเกิดรู้สึกผิดชอบชั่วดี เมื่อได้ฟังเทศนาสั่งสอนอบรมของพระเถระผู้ทรงธรรมอันสูงแล้ว จึงเห็นแจ้งในที่เกิดทุกข์” เรื่องมีว่า ครั้งหนึ่งมีหัวหน้าผู้หากินทุจริตผิดกฎหมาย ได้วางแผนการณ์ที่จะเข้าทำการโจรกรรมในบ้านผู้มีชื่อผู้หนึ่ง แต่แล้วแผนการณ์ได้รั่วไหลไปถึงเจ้าทรัพย์ จนรู้ตัวเสียก่อนที่จะลงมือ ที่สุดผู้ทุจริตก็ถูกผู้รักษากฎหมายจับตัวได้ ผลกรรมชั่วที่ทำมาทำให้ต้องเข้าไปรับกรรมตามกฎหมาย ถูกตัดสินจองจำอยู่ในที่คุมขัง ชายผู้นั้นมีความโกรธแค้นมากคิดว่า แผนการณ์ของตนถูกทำลาย ครั้งนี้จะต้องมีคนหักหลัง มิฉะนั้นเจ้าทรัพย์และผู้รักษากฎหมายคงไม่รู้ละเอียดเช่นนี้ ภายหลังจึงได้ทราบว่ามีเด็กคนหนึ่งนำความไปบอกเจ้าทรัพย์ให้รู้ตัวก่อน และก็เป็นเหตุบังเอิญบ้านที่จะเข้าโจรกรรมนั้น เจ้าของบ้านเคยเป็นผู้มีบุญคุณกับเด็กคนนั้นมาก่อน เมื่อทราบเช่นนั้น ชายผู้ทุจริตก็โกรธแค้นเด็กคนนั้นถึงขนาดออกปากว่า ถ้าพ้นโทษวันไหนก็จะตามล้างแค้นให้สาสมกับความเจ็บใจ เมื่อชายผู้นั้นถูกส่งเข้าไปรับกรรมชั่ว ทนทุกข์ในบริเวณเรือนจำแล้ว ก็รู้สึกตัวเองนั้นหมดความเป็นอิสรภาพ ได้รู้ได้เห็นเหตุการณ์ต่างๆ ในที่ต้องจำขัง อยู่ภายใต้กำแพงอันสูงใหญ่แน่นหนา เป็นเขตกั้นขาดจากโลกภายนอก เหมือนอยู่อีกโลกหนึ่งเป็นโลกของทรชนผู้มีบาป เป็นสถานที่ที่คนชั่วต้องมาใช้หนี้กรรมชั่วที่ตนได้ทำไว้ เป็นโลกที่จำขังผู้มีแต่ความโหดเหี้ยม จิตใจหยาบช้าเป็นที่ห่างไกลจากผู้มีศีลธรรม ห่างไกลจากความสดชื่นอ่อนหวาน ห่างจากสิ่งเจริญตาเจริญใจทั้งปวง ห่างจากญาติพี่น้อง พ่อ แม่ บุตร ภรรยา และมิตรสหายที่รัก นักโทษที่เข้าไปใหม่นั้น ถ้าไม่ใช่ผู้ร้ายใจแข็งเหี้ยมโหดมาแต่กำเนิดแล้ว ย่อมจะมีจิตใจหวั่นไหวเกรงกลัว เพราะชื่อก็ไม่เป็นมงคล ทำให้ประสาทและสมองสับสนหวาดหวั่นขวัญเสียตลอดเวลา ไม่รู้ว่าจะมีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นกับตัวต่อไป นึกกลัวว่าจะต้องทำงานหนัก นึกกลัวจะถูกเฆี่ยนถูกโบย กลัวจะถูกตีตรวน มันเหมือนกับอยู่ในยมโลก ซึ่งมียมทูตนำตนมาส่งให้ยมบาล นักโทษบางคนที่ประสาทอ่อนกลัวจนแทบเป็นบ้า เพราะเห็นแต่หน้านักโทษส่วนมากเหี้ยมเกรียมกิริยาดุร้าย กักขฬะ วาจาสามหาว หยาบคาย สวมเสื้อผ้าสกปรก หูก็ได้ยินแต่เสียงโซ่ตรวนที่นักโทษเดินลากไปมา บางคนก็เอาผ้าพันขา บางคนพันที่ตรวนไว้ไม่ให้เหล็กเสียดสีกับเนื้อขา ทุกคนต้องทำงานตรากตรำตลอดเวลา บางคนก็แบกหามมือหนึ่ง อีกมือหนึ่งก็คอยจับโซ่ตรวนที่ขาดึงขึ้นมาให้ตึง ไม่ยอมให้เหล็กถูกกับเนื้อขา กลัวจะถูกเนื้อหนังตามแข้งขาถลอกจะเกิดเป็นแผลมองดูก็เห็นความลำบาก บางพวกก็ทุบหินขนหิน ตามแต่ทางการจะใช้งาน นอกจากเสียงโซ่ตรวนที่ได้ยินจำเจ เสียงตะโกนโต้ตอบกันด้วยถ้อยคำหยาบคาย เมื่อถึงเวลาเยี่ยมก็มีเสียงจอแจเหมือนอยู่กลางตลาดตลอดเวลา สำหรับพวกที่มีความรู้ และพวกช่างต่างๆ ก็ได้ทำงานที่ตนถนัด งานจึงเบากว่าพวกที่แบกหาม มีนักโทษบางคนที่กักขฬะ เมื่อเห็นนักโทษที่มาใหม่มีหน้าตาหมดจดก็คอยจ้องดูหมายตาไว้ แล้วตะโกนเชิงจองไว้ก่อนว่า “คนนี้เป็นของมึง คนโน้นเป็นของข้า ใครจะแตะต้องไม่ได้” ต่างก็อวดฤทธิ์เดชว่า ตนเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในหมู่นักโทษ ด้วยต่างถือสิทธิ์นักโทษใหม่ที่ตนชิงจองกันไว้ หากมีนักโทษผู้อื่นขัดขวางแย่งเอาไป ก็มักใช้กำลังต่อสู้ทำร้ายซึ่งกันและกัน นักโทษที่เข้าไปใช้กรรมในที่คุมขัง ต่างก็มีประวัติความผิดที่ตนได้ประกอบขึ้นด้วยกันทุกคน มีผิดมากผิดน้อยก็ได้รับโทษหนักและเบาตามกรรมที่ผู้นั้นประกอบขึ้น ในคดีที่นักโทษต้องอุกฉกรรจ์ และผู้มีสันดานผู้ร้ายมาแต่กำเนิด ดุร้าย โทษหนักติดนาน ทางการก็ต้องคุมขังไว้อีกเขตหนึ่งต่างหาก แต่เมื่อนักโทษที่ไม่มีสันดานเป็นผู้ร้ายมาแต่กำเนิด ดุร้าย โทษไม่หนักมากนัก ก็ถูกขังมาอยู่ในที่แออัดยัดเยียดในห้องที่คับแคบ