Monday, January 15, 2007

ความดี โดย ท.เลียงพิบูลย์ (1)

ชีวิตของสัตว์โลกที่เกิดมาใต้ดวงอาทิตย์ ย่อมจะมีเรื่องแปลกประหลาดมหัศจรรย์เกิดขึ้นได้ทุกยุคทุกสมัย ทุกวันทุกเวลามีทั้งเรื่องดีและเรื่องชั่ว มีทั้งผู้ประกอบความดีด้วยคุณธรรมสูง และผู้ประกอบกรรมชั่วด้วยจิตใจต่ำเหี้ยมโหดดุร้าย มีเรื่องแปลกมหัศจรรย์เกิดขึ้นเสมอตลอดมา หากบางเรื่องเกี่ยวกับคนใหญ่คนโตก็เป็นสิ่งที่สนใจของประชาชน เรื่องก็แพร่ออกไปรู้กันทั่วเมืองทั่วประเทศ หากบางเรื่องเกิดขึ้นในหมู่บ้านหรือในหมู่คณะประชาชนก็ไม่สนใจนัก เรื่องก็รู้อยู่ในวงแคบๆ แม้จะได้เล่าสู่กันฟังก็อยู่ในวงจำกัด เมื่อผู้ประสบการณ์ได้จากโลกนี้ไปเมื่อสิ้นอายุขัย เรื่องราวต่างๆ ที่น่ารู้น่าศึกษาก็สูญสิ้นไปด้วยเหมือนคลื่นกระทบฝั่ง อนุชนรุ่นหลังไม่มีโอกาสที่จะรู้เรื่อง เพราะไม่มีใครบันทึกจดจำเอาไว้เป็นอักษรเผยแพร่ หากจะมีผู้นำมาเล่าสู่กันฟังและก็เป็นธรรมดาการเล่าด้วยปากเปล่า ย่อมจะมีขาดตกบกพร่องในข้อความสำคัญ หรืออาจต่อเติมเปลี่ยนแปลงผิดจากความจริงกัน ต่อๆ ไป เหลือความจริงน้อยลง แล้วค่อยๆ เลือนลาง ไม่ช้าก็ลืมเหตุการณ์ที่ควรจะสนใจ ไม่ถาวรยั่งยืน เพื่อเป็นอนุสรณ์สมบัติของอนุชนรุ่นหลัง เป็นที่น่าเสียดายยิ่งนักหากท่านผู้ใดได้ประสบการณ์ที่ประหลาดมหัศจรรย์ พอจะเป็นเรื่องเตือนในศีลธรรม ขอให้ช่วยกันบันทึกไว้ อาจเป็นประโยชน์แก่เยาวชนในอนาคตข้างหน้า เรื่องที่ข้าพเจ้าจะบรรยายต่อไปนี้ เป็นเรื่องของท่านผู้เป็นทนายความ เป็นแขกของคุณพี่ผู้หนึ่ง ซึ่งท่านผู้นี้มีจิตใจเมตตาปรานี เมื่อเห็นผู้ใดได้รับความทุกข์ก็มีจิตใจสงสาร เมื่อรู้ว่าผู้บริสุทธิ์กำลังตกอยู่ในอันตราย ก็พยายามช่วยให้พ้นทุกข์ เมื่อมีโอกาสก็จัดการช่วยเหลือ โดยไม่ต้องให้ผู้ใดออกปากร้องขออ้อนวอน และไม่หวังสินจ้างรางวัลใดๆ ทั้งสิ้น ทำเพื่อช่วยผู้บริสุทธิ์เพื่อมนุษยธรรม และเมื่อได้ช่วยเหลือให้พ้นจากภัย สิ่งที่ได้รับก็คือความปีติยินดีเกิดขึ้นทางจิตใจ เป็นเครื่องตอบแทน เป็นความรู้สึกอันสูงค่ายิ่งกว่าทรัพย์สินใดๆ ทั้งสิ้น ต่อมาท่านผู้นั้นก็ลืมเรื่องเหล่านี้กลายเป็นเหตุการณ์ในอดีต ดังท่านผู้นั้นได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ข้าพเจ้าฟังภายหลังว่า วันหนึ่งผมได้ขับรถส่วนตัวไปเที่ยวต่างจังหวัดพร้อมด้วยครอบครัว มีภรรยาและบุตรชายที่ยังเด็กอีก ๒ คน ขากลับเมื่อมาถึงหมู่บ้านริมทาง มีร้านค้าอาหารและขายของใช้ บุตรชายของผมเกิดอยากจะกินฝักบัวซึ่งชาวบ้าน และเด็กๆ นำใส่กระจาดมาขายผม จึงหยุดรถริมทางหน้าร้านขายอาหาร ผมเร่งให้ภรรยารีบเลือกซื้อฝักบัวให้เด็ก เพราะตั้งใจจะรีบกลับ ไม่อยากกลับถึงบ้านดึกเกินไป เพราะระยะทางอีกประมาณสองชั่วโมงกว่าจะถึงกรุงเทพฯ และฝนก็ตั้งเค้ามาแล้ว การขับรถกลางคืนเวลาฝนตกนั้นไม่มีความสะดวก ระหว่างภรรยาผมกำลังเลือกซื้อและต่อราคากันนั้น ผมได้มองเข้าไปในร้านอาหาร ก็บังเอิญมองไปเห็นชายผู้หนึ่ง อายุประมาณ ๔๐ เศษ กำลังจ้องมองดูผมอย่างตั้งอกตั้งใจ เมื่อผมไปสบตาเข้า แกก็รีบหลบสายตาไปทางอื่น แสดงกิริยาพิรุธ ผมจึงมีความสงสัย ได้พยายามดูหน้าตารูปร่างของแกแล้ว เป็นผู้ที่ไม่เคยรู้จักและเคยเห็นมาก่อน พยายามนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก จึงแน่ใจว่าชายผู้นี้ไม่เคยพบและรู้จักกันมาก่อน เมื่อตัดความไม่เคยรู้ออกแล้ว คราวนี้ก็มีปัญหาที่จะพิจารณาดูว่าชายผู้นี้มีความหวังดีหรือหวังร้าย การที่จ้องหน้าผู้ที่ไม่เคยรู้จักโดยไม่มีเหตุผลนั้นไม่ได้ ถ้าหวังร้ายก็ต้องมีผู้จ้างมาคอยดักทำร้ายแต่ข้อนี้ก็มองไม่เห็น เพราะผมไม่เคยมีเรื่องกับใครพอที่จะสร้างความเจ็บแค้นแสนสาหัส ทำให้ผู้อื่นทุกข์ยากลำบาก ได้ทราบแต่ผู้ที่มีศัตรูคอยอาฆาตก็คือพวกที่หักหลังหรือฉ้อโกง เป็นชายชู้กับภรรยาของผู้อื่นซึ่งเป็นที่รักหวงแหน เป็นการย่ำเกียรติและหยามหน้ากัน ทำให้เจ็บแค้นแสนสาหัส ทำให้เกิดพยาบาทคอยจองเวรกันตลอดไป สิ่งเหล่านี้ผมไม่เคยประพฤติเรื่องเช่นนี้ ไม่มีใครรู้ดีเท่าตัวของตัวเอง ฉะนั้น ปัญหาเรื่องมีศัตรูคอยปองร้ายจึงแน่ใจว่าไม่มี และคราวนี้ก็คงเหลือปัญหาเดียว ก็คือคนร้ายคอยปล้นคอยจี้ พวกนี้ไม่เลือกว่าเหยื่อของตนนั้นจะเป็นใคร ถ้ามีทรัพย์สินพอที่จะจี้ได้ก็ไม่สนใจ ใครดีใครชั่วแม้แต่ผู้ทรงศีลก็ไม่ละเว้น แม้แต่พระพุทธรูปก็ยังตัดพระเศียรได้ เมื่อนึกถึงเพียงนี้ก็ไม่สบายใจ แล้วพิจารณากิริยาท่าทางของชายผู้นั้นดูอีกครั้ง ก็รู้สึกว่าชายผู้นี้มีลักษณะเช่นนี้คงไม่เป็นผู้ร้ายแน่ และคงเหลือปัญหาข้อเดียวคือ แกคงจำคนผิด ฉะนั้นจึงจ้องมองดูอย่างไม่แน่ใจ ที่สุดปัญหาต่างๆ ก็คลี่คลายไปในทางที่ดี เมื่อมองดูบริเวณนั้นก็เห็นรถบรรทุกใช้งานอยู่สองคัน จึงคิดว่าคงจะเป็นคนงานหรือคนขับรถ ฉะนั้นความสงสัยแต่แรกก็สิ้นสุดลงด้วยความสบายใจ เมื่อภรรยาผมได้ซื้อของตามที่ต้องการแล้ว ผมก็ขับรถวิ่งตรงเข้ากรุงเทพฯ ทันที เวลานั้นฝนตกกำลังลงเม็ด แม้จะไม่ตกมากนักแต่ก็พอทำให้ถนนเปียก ทำให้ขับรถต้องระวังเพราะถนนลื่น ยิ่งเป็นถนนที่ราดยางก็ต้องเพิ่มความระมัดระวังยิ่งขึ้น เมื่อรถออกวิ่งมาได้ประมาณ ๒๐ นาที ถนนตอนนั้นลื่นมาก เพราะรถขนดินได้ทำดินตกหล่นไว้กลางถนน เมื่อถูกฝนละลายเป็นโคลน ทำให้ถนนซึ่งลื่นอยู่แล้วเพิ่มความลื่นมากขึ้น ทำให้ท้ายรถปัดไปปัดมาผมคุมพวงมาลัยไม่อยู่ เพราะกลัวจะคว่ำเป็นอันตรายแก่เด็ก ผมก็จำเป็นต้องปล่อย เพียงแต่คอยประคองพวงมาลัยให้มันค่อยๆ ไหลลงในที่นาที่ดินชื้นแฉะ เวลานี้ผมใจหายหมดเพราะกลัวรถจะคว่ำจะเป็นอันตรายแก่เด็กและผู้หญิง เมื่อรถไหลลงไปถึงที่ก็จอดนิ่งอยู่ที่นา ข้างล่างคันนากับพื้นถนนที่รถไหลลงไปนั้นสูงพอใช้ เมื่อผมดูคันนากับขอบถนนก็รู้ดีว่า ผมหมดปัญญาหมดความสามารถที่จะนำเอารถขึ้นสู่ถนนได้โดยปลอดภัย ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ผมก็เริ่มตกหนาเม็ดขึ้น เมื่อจะลงจากรถก็ไม่รู้ว่าจะไปหลบฝนที่ไหน จะเปิดประตูรถออกมาก็ต้องย่ำลงไปในดินโคลนท้องนา จะต้องถอดรองเท้า จะนั่งอยู่เฉยๆ รอเวลาก็คงไม่มีวันที่จะนำรถขึ้นมาจากท้องนาได้ ความรู้สึกปั่นป่วนไปหมด แต่ก็ลองติดเครื่องเข้าเกียร์หนึ่ง แล้วเร่งเครื่องเพื่อจะให้รถหลุดพ้นจากหล่มโคลน ยิ่งเร่งเครื่องล้อหมุนอยู่กับที่ รถยิ่งจมลึกลงไปในโคลน แม้จะเข้าเกียร์ถอยหลังแล้ว เดินหน้าเท่าใดรถก็ไม่เขยื้อนจากที่ได้ กลับยิ่งจมลึกลงไปในดินมากขึ้น เกือบจะติดตัวถังใต้ประตู ผมไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี เหงื่อออกชุ่มเสื้อแข่งกับน้ำฝน หมดปัญญาแก้ปัญหาไม่ตก เมื่อรู้ว่าตัวเองหมดความสามารถ จึงคิดว่าจะพึ่งรถที่วิ่งผ่านไปมา คงจะมีคนเห็นอกเห็นใจบ้าง เมื่อมองดูสภาพของรถแล้วก็เห็นอาการหนัก โคลนดูดเข้าไปตั้งครึ่งคัน ยังไม่เห็นว่าเขาจะช่วยเราได้อย่างไร ยิ่งฝนตกก็ยิ่งเป็นหล่มมากขึ้น เมื่อเป็นว่าฝนซาลงจวนจะหยุด ผมก็จัดแจงถอดรองเท้าไว้ในรถ และสั่งคนในรถ บอกว่าให้นั่งอยู่เฉยๆ ผมจะไปขอร้องให้คนเขามาช่วย เสร็จแล้วผมก็เปิดประตูรถบุกขึ้นมาบนถนน เมื่อมายืนบนขอบถนนแล้ว ก็คอยว่าเมื่อไหร่จะมีรถวิ่งผ่านมาจะได้โบกมือให้หยุด แล้วขอความช่วยเหลือ แต่รออยู่ไม่ช้าก็มองเห็นรถแล่นมาแต่ไกลจะเข้ากรุงเทพฯ